บทสัมภาษณ์สุด Exclusive กับ นาโอกิ ฮามากุจิ โปรดิวเซอร์ผู้สานต่อตำนาน RPG ระดับตำนาน

ทันทีที่ Square Enix ประกาศนำ Final Fantasy VII Remake Intergrade มาลงบน Nintendo Switch 2 กระแสความตื่นเต้นของแฟนๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นทันที เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการ “พอร์ต” เกมจากแพลตฟอร์มเดิม แต่มันคือการปรับแต่งครั้งใหญ่เพื่อให้ตำนาน RPG อันยิ่งใหญ่สามารถโลดแล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนเครื่องคอนโซลลูกผสมเจเนอเรชันใหม่ของ Nintendo
ในโอกาสนี้ เราได้รับเกียรติร่วมพูดคุยกับ นาโอกิ ฮามากุจิ (Naoki Hamaguchi) โปรดิวเซอร์ผู้ดูแลโปรเจกต์อย่างใกล้ชิด เขาได้เล่าถึงความท้าทาย เบื้องหลังการพัฒนา ตลอดจนวิสัยทัศน์ที่อยากส่งต่อให้ผู้เล่นทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
Boost Mode ใหม่ – อิสระของผู้เล่นคือหัวใจ
หนึ่งในฟีเจอร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “Streamlined Progression” หรือ Boost Mode ซึ่งหลายคนสงสัยว่ามันต่างจาก Easy Mode แบบเดิมอย่างไร
ฮามากุจิอธิบายอย่างชัดเจนว่า
Easy Mode เดิมจะทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้นทั้งหมด แต่ Boost Mode เป็นการให้ผู้เล่น ‘เลือก’ เองว่าต้องการความช่วยเหลือด้านไหน เช่น จะปิดการรับดาเมจ HP, เปิดการใช้งาน MP แบบไม่จำกัด หรือแม้แต่เพิ่มค่า EXP เป็นพิเศษ เพื่อให้ทุกคนสามารถสนุกกับเรื่องราวได้ในสไตล์ของตัวเอง
สิ่งนี้สะท้อนปรัชญาของทีมพัฒนา ที่ไม่ได้อยากลดทอนความท้าทายเพียงอย่างเดียว แต่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ปรับแต่งประสบการณ์การเล่นในแบบที่ต้องการอย่างแท้จริง
ภารกิจสุดหิน: 30fps ในโหมดพกพา
เมื่อถามถึงความยากที่สุดในการนำเกมมาลง Switch 2 ฮามากุจิยอมรับทันทีว่า โหมดพกพา (Handheld Mode) คือความท้าทายหลัก
เราอยากให้ผู้เล่นได้ประสบการณ์ที่เสถียรอย่างน้อย 30fps แม้จะเล่นนอกบ้าน นี่คือเป้าหมายสำคัญที่ทีมงานตั้งเป้าไว้
ทีมงานจึงใช้เวลามหาศาลในการ Optimize กราฟิกสำหรับ Switch 2 โดยเฉพาะ ไม่ใช่เพียงการลดรายละเอียด แต่คือการเลือกอย่างรอบคอบว่าอะไรควรเก็บ อะไรควรตัด เพื่อให้เกมยังคงความงดงามใกล้เคียงเวอร์ชัน PlayStation 5 และ Xbox Series มากที่สุด
เสียงตอบรับจากการทดสอบในงานเกมต่างๆที่ผ่านมา ยืนยันว่าทีมทำได้สำเร็จ ผู้เล่นหลายคนต่างชมว่า “นี่คือหนึ่งในพอร์ตที่ดีที่สุดบน Switch 2”
ระบบแสง – หัวใจของอารมณ์และความสมจริง

เมื่อถามถึงการรักษารายละเอียดเล็กๆ ที่แฟนๆ ชื่นชอบ เช่น การแสดงอารมณ์บนใบหน้าของคลาวด์ หรือการออกแบบสุดเนี้ยบของเซฟิรอธ ฮามากุจิเปิดเผยความลับเบื้องหลังว่า
“หัวใจของการแสดงอารมณ์คือ Lighting (ระบบแสง) ถ้าเราไปลดคุณภาพตรงนี้ อารมณ์ทั้งหมดที่ผู้เล่นควรรู้สึกอาจหายไปทันที เราจึงเลือกจะคงระบบแสงไว้เต็มที่ แล้วไปปรับอย่างอื่นแทน เช่น เอฟเฟกต์หมอก หรือ Post-processing”
นี่เป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่ผลลัพธ์คือผู้เล่นจะยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันทรงพลังของ Final Fantasy VII Remake ได้
“Key Card” – ความจำเป็นเพื่อความลื่นไหล
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงคือระบบ Key Card ที่บังคับให้ผู้เล่นต้องดาวน์โหลดข้อมูลเสริมจากออนไลน์ ซึ่งบางคนมองว่ายุ่งยาก
ฮามากุจิอธิบายตรงไปตรงมาว่า
จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ปัญหาขนาดไฟล์ แต่เพราะ ความเร็วในการอ่านข้อมูลจากตลับช้ากว่าหน่วยความจำในเครื่องมาก สำหรับเกมที่มีรายละเอียดระดับนี้ หากโหลดช้า ประสบการณ์การเล่นจะเสียไปทันที เราจึงเลือกใช้ Key Card เพื่อรักษาความต่อเนื่องของเกม
เขาหวังว่าผู้เล่นจะเข้าใจว่านี่คือ การตัดสินใจเพื่อคุณภาพของประสบการณ์โดยรวม ไม่ใช่เพื่อสร้างความยุ่งยาก
Nintendo Switch 2 – สะพานสู่ผู้เล่นรุ่นใหม่
หนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของการนำ Remake มาลง Switch 2 คือ การขยายฐานผู้เล่น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่เติบโตมากับ Nintendo Switch
“คลาวด์และเซฟิรอธไปปรากฏตัวใน Super Smash Bros. ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะพาผู้เล่นรุ่นใหม่เข้าสู่โลกของ Final Fantasy VII และอาจต่อยอดไปสู่การรู้จักซีรีส์ทั้งหมด”
นี่คือยุทธศาสตร์สำคัญที่ Square Enix หวังว่าจะสานต่อตำนานให้คงอยู่ในใจคนรุ่นต่อๆ ไป
อนาคตของ Remake – อัปเดตต่อเนื่องบนทุกแพลตฟอร์ม

สำหรับแฟนๆ ที่เล่นบนแพลตฟอร์มอื่น ฮามากุจิยืนยันว่าไม่ถูกทิ้งแน่นอน
“เรามีแผนจะนำ Boost Mode ไปอัปเดตให้ PS5 และ PC หลังจากที่โฟกัสพัฒนาพาร์ท 3 เสร็จแล้ว”
นอกจากนี้ยังเตรียม อัปเดตระบบแสงของเวอร์ชัน PS5 ให้ใกล้เคียงกับ PC อีกด้วย สะท้อนถึงความตั้งใจของทีมที่ต้องการให้ผู้เล่นทุกแพลตฟอร์มได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
ข้อความจากใจถึงแฟนๆ ชาวเอเชีย
ก่อนจบการสัมภาษณ์ ฮามากุจิได้ฝากข้อความอบอุ่นถึงแฟนๆ ทุกคนว่า
ใครที่ยังไม่เคยสัมผัส Final Fantasy VII Remake อยากให้ลองเล่นบน Nintendo Switch 2 หรือ Xbox ดูครับ เราจะได้ร่วมเดินทางไปสู่บทสรุปอันยิ่งใหญ่ของไตรภาคนี้ไปด้วยกัน
สรุป: Remake ที่มากกว่าการพอร์ต
จากบทสัมภาษณ์นี้ จะเห็นได้ว่าการมาถึงของ Final Fantasy VII Remake Intergrade บน Switch 2 คือ บทพิสูจน์ความทุ่มเทของทีมพัฒนา ที่พร้อมต่อสู้กับข้อจำกัดทุกด้านเพื่อถ่ายทอดตำนานนี้สู่ผู้เล่นกลุ่มใหม่ๆ

ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Boost Mode ที่ตอบโจทย์สไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน, การ Optimize เพื่อรักษาประสิทธิภาพ 30fps, การยืนยันคุณภาพของระบบแสง, หรือแม้แต่การเลือกใช้ Key Card ที่ขัดใจบางคน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า Square Enix จริงจังแค่ไหนในการนำ Final Fantasy VII มาสู่ ยุคใหม่ ของการเล่นเกม
และนี่อาจเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ทั้งผู้เล่นรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้ร่วมเดินทางสู่บทสรุปไตรภาค Remake ไปพร้อมกัน