เพิ่งจะผ่านไปหมาด ๆ สำหรับวัน Mario Day หรือวันที่ 10 มีนาคมของทุกปี ที่ถือว่าเป็นตัวละครในตำนานของวงการเกม แต่เชื่อว่าแฟนเกมหลายคนไม่รู้ว่าที่มาของชื่อตัวละครในเกม ‘Super Mario’ มาจากที่ไหน เพราะมันไม่ได้มาแบบง่าย ๆ บางตัวได้มาจากความบังเอิญจนแทบไม่น่าเชื่อ ไปดูกันว่าแต่ละตัวมีที่มาอย่างไรบ้าง

Mario

ชื่อของตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์ของวงการเกมและ Nintendo ที่หลายคนคงจะรู้ว่าชื่อแรกของเขาคือ “Jumpman” ที่เป็นตัวละครในเวอร์ชันเกมตู้ของ ‘Donkey Kong’ แต่ความจริงก่อนชื่อนี้ยังมีอีกชื่อที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้มาก่อน เพราะว่าชื่อในการพัฒนาตัวละครหลักของเกมจะมีชื่อว่า “Mr.Video”

แล้วชื่อจริงของลุงหนวดมาจากไหน ? ชื่อ Mario มาจากชื่อของคนจริง ๆ นามว่า มาริโอ เซเกล (Mario Segale) โดยเขาเป็นเจ้าของอาคารที่ Nintendo of America ที่ตอนนั้นอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล และเขาได้เข้ามาทวงเงินค่าเช่าที่กับประธาน มิโนรุ อาราคาวะ (Minoru Arakawa) ในระหว่างที่ทีมงานกำลังพูดคุยเรื่องการสร้างเกมอยู่พอดี ทำให้ทีมงานได้ไอเดียเอาชื่อ Mario ไปใช้งานเป็นตัวละครหลักในเกมเลย

อย่างไรก็ตามเซเกลไม่ค่อยชอบใจที่ Nintendo เอาชื่อของเขาไปใช้งานในเกม Mario แต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือฟ้องร้องอะไร ทำให้เขาไม่ได้รับค่าตอบแทนในการเอาชื่อ Mario ไปใช้แม้แต่เหรียญเดียว เพราะมันเป็นชื่อที่ใครตั้งก็ได้ โดยเซเกลได้จากไปในวันที่ 27 ตุลาคม 2018 ในวัย 84 ปี

Luigi

Luigi น้องชายของ Mario ที่ในตอนแรกเขามีหน้าตาเหมือนกับลุงหนวดทุกอย่าง เพราะผู้สร้างไม่อยากสร้างตัวละครใหม่จึงแค่ทำการเปลี่ยนสี แต่เข้าสู่ยุคที่สามารถใส่รายละเอียดลงไปได้ทำให้มีการวาดตัวละครให้แตกต่างจาก Mario ส่วนที่มาของชื่อ Luigi มี 2 ข้อมูลที่เล่าต่อกันมา

โดยเรื่องแรกมาจากความพยายามของทีมงานชาวญี่ปุ่น ที่อยากตั้งชื่อตัวละครชาวอิตาลีและมีการเล่าชื่อ Luigi ว่ามาจากร้าน Pizza ที่อยู่ใกล้สำนักงานของ Nintendo ที่ชื่อว่า Mario & Luigi’s ที่ตอนนี้ร้านนี้ปิดกิจการไปแล้ว ส่วนอีกข้อมูลมาจากปากของ ชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) ที่บอกว่าชื่อ Luigi มาจากคำในภาษาญี่ปุ่นว่า “Ruiji” ที่ทีมงานชาวญี่ปุ่นแนะนำให้เขาใช้และเขาคิดว่ามันเข้ากับชื่อ Mario จึงนำไปใช้

Princess Toadstool/ Peach

เจ้าหญิง Peach ถือเป็นตัวละครที่เป็น 2 ชื่อโดยในญี่ปุ่นเราจะเรียกว่า Peach ที่มิยาโมโตะตั้งชื่อตามผลไม้ลูกพีช ทำให้ที่มามันก็เรียบง่าย และมีการใช้สีชมพูตามรูปแบบของผลไม้ด้วย ส่วนในอเมริกาในตอนแรกจะเรียกเธอว่า Princess Toadstool โดยไม่มีการบอกเหตุผลของการเปลี่ยนใช้ชื่อนี้ แต่คาดว่าอาจจะเพราะเปลี่ยนตามตัวละคร Toad ที่เป็นประชากรของอาณาจักรเห็ดที่เธอดูแล

อย่างไรก็ตาม Nintendo ได้ใช้ชื่อ Peach ในอเมริกาครั้งแรกในเกม ‘Yoshi Safari’ บน Super Famicom และในภาคหลักอย่าง ‘Super Mario 64’ จะมีการใช้ชื่อรวมกันของ 2 เวอร์ชันในชื่อ “Princess Toadstool Peach” ที่อยู่ในจดหมายที่เธอเขียนถึง Mario ในตอนเริ่มต้นเกม

Toad/Kinopio

ชื่อ Toad สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากเห็ดที่เป็นงานออกแบบของตัวละครนี้ ที่มีส่วนหัวเหมือนเห็ดขนาดยักษ์ แต่ในประเทศญี่ปุ่นต้นกำเนิดมีการใช้ชื่อว่า “Kinopio” ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำว่าเห็ดในภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่า “kinoko” และนำมารวมกับตัวละครดังอย่างหุ่นไม้ “Pinocchio” ที่ญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า “Pinokio” จนเป็นที่มาของชื่อ “Kinopio”

Koopa/Bowser

ตัวร้ายประจำซีรีส์ Mario ที่มีการใช้ 2 ชื่อตามโซน แต่ชื่อที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันดีคือ Koopa ซึ่งมิยาโมโตะผู้สร้างเกม ‘Super Mario’ ได้บอกว่างานออกแบบของมันมาจากชื่ออาหารเกาหลีที่เป็นซุป Koopa แต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่ทำไมถึงได้เลือกซุปชนิดนี้มาทำเป็นตัวร้าย เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะชอบกิน

ส่วนอีกชื่อที่ใช้ในโซนอื่นทั่วโลกคือ Bowser ที่เป็นชื่อของเป็นยานพาหนะทางทหารประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อกักเก็บน้ำหรือน้ำมันขนาดใหญ่ยักษ์ ส่วนสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนเพราะมีการใช้ชื่อ Koopa กับตัวละครเต่าในเกม ‘Super Mario’ โซนอื่นนอกญี่ปุ่น ทำให้ปู่นินกลัวแฟนเกมจะสับสนทำให้มีการเปลี่ยนบอสใหญ่ในเกมมาใช้ชื่อ Bowser แต่ก็มีการเรียกว่า Bowser King of the Koopas ในหนังสือคู่มือเกมฉบับที่ขายในตะวันตก

Donkey Kong

เชื่อว่าเห็นแค่ชื่อแฟนเกมทั่วโลกอาจจะคิดว่ามันมาจาก “King Kong” ตัวละครลิงยักษ์ในตำนานของโลกภาพยนตร์ ที่ในเกมก็มีการจับสาวสวยและปีนตึกแบบในหนัง แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาล่าสุดมีการระบุว่ามันมาจากโครงการสร้างเกมตู้ในยุค 80S ที่ในตอนนั้นมีเกมตู้ที่มาในรูปแบบโต๊ะนั่งด้วย ทำให้ปู่นินมีโครงการสร้างที่ในตอนแรกมีชื่อว่า ‘Table Kong Game’

แต่ชื่อของลิงยักษ์มันไม่ได้ตั้งโดยมิยาโมโตะตามที่แฟนเกมเข้าใจ แต่มาจาก ชินอิจิ โทโดริ (Shinichi Todori) ที่คำว่า Kong จะสื่อถึงลิงกอลิล่า แต่ทีมสร้างต้องการสื่อว่ามันคือลิงโง่ โดยในตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ‘Tonma Kong’ ตามภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่าโง่ แต่แล้วก็ได้เปลี่ยนเป็น “Donkey” เพราะทั่วโลกจะได้เข้าใจความหมายมากกว่า แต่การที่ Kong คล้ายกับชื่อ King Kong ทำให้ค่าย Universal Studios เคยฟ้อง Nintendo ให้หยุดใช้ชื่อนี้แต่ปู่นินก็ชนะคดีในที่สุด