BT beartai ได้มีโอกาสเข้าสัมภาษณ์สุด Exclusive กับคุณเทรูกิ เอนโด (Teruki Endo) Battle Director ของเกมแอกชัน RPG ในตำนานอย่าง Final Fantasy VII Remake ซึ่งรอบนี้ต้องบอกว่าแฟน ๆ จับตามอง เพราะเป็นการรีเมกภาคดังอย่างภาค 7 แถมยังเป็นการนำมาเล่นกับ Nintendo Switch 2 เป็นครั้งแรก

โดยทางทีมพัฒนา Final Fantasy VII Remake Intergrade เผยรายละเอียดการปรับปรุงเกมสำหรับ Nintendo Switch 2 พร้อมเล่าถึงความท้าทายในการคงคุณภาพกราฟิกและเฟรมเรต รวมถึงการออกแบบตัวละครใหม่ ‘Yuffie’ และแนวคิดเบื้องหลัง ‘Simplified Mode’ 

เทรูกิ เอนโด (Teruki Endo) Battle Director และตัวแทนทีม BT beartai

การปรับปรุงเกมสำหรับ Nintendo Switch 2 และความท้าทายด้านคุณภาพ

ทาง BT beartai ได้ถามอินไซต์ที่จำเป็นว่าการเล่นใน Nintendo Switch 2 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม ซึ่งทางทีมพัฒนาชี้แจงว่า ในการพอร์ตเกมลง Nintendo Switch 2 นี้ พวกเขาให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นบนแพลตฟอร์มที่หลากหลายเป็นอันดับแรก ทำให้ไม่มีการใส่กลไกการเล่นใหม่ ๆ หรือการปรับรูปแบบการต่อสู้ที่อาศัยฟีเจอร์เฉพาะของ Nintendo Switch 2 เช่น เซนเซอร์ไจโรสโคป (Gyro) หรือการควบคุมแบบสัมผัส (Dual Sense) ในภาคนี้ 

นอกจากนี้ ทีมงานยังกล่าวถึงแนวคิดด้านการออกแบบเกมว่า ไม่ได้มีแผนที่จะเพิ่มข้อจำกัดใด ๆ ที่ขัดขวางการเล่นเกมโดยเจตนา แต่หากเกิดสถานการณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาหรือการปรับสมดุล ก็อาจมีการพิจารณาเพิ่มข้อจำกัดดังกล่าวเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม ในมุมของความท้าทาย การพอร์ตเกมไปยัง Nintendo Switch 2 นั้นมีความท้าทายในการคงคุณภาพกราฟิกและประสิทธิภาพพอสมควร จึงโฟกัสเรื่องต่อไปนี้

  • เป้าหมายหลักคือเฟรมเรตที่ 30 FPS : ทีมงานให้ความสำคัญสูงสุดในการรักษาอัตราเฟรมเรตให้คงที่ที่ 30 FPS ในทุกฉากบนทั้งสองแพลตฟอร์ม
  • การปรับสมดุลกราฟิก : เพื่อให้ได้เฟรมเรตที่คงที่ ทีมวิศวกรได้ทำการปรับสมดุลระหว่างคุณภาพกราฟิกและความเร็ว โดยมีการลดความซับซ้อนของการประมวลผล Post-Effect และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพื้นหลังในส่วนที่จำเป็น
  • การคงคุณภาพตัวละคร : โมเดลตัวละครหลักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับลดคุณภาพใด ๆ (เช่น การลดคุณภาพของ Shader) เพื่อรักษาความสวยงามที่เป็นจุดเด่นของเกมไว้อยู่ 

แนวคิดเบื้องหลังโหมด ‘Simplified Progression’

การนำเสนอโหมด ‘Simplified Progression’ (โหมดที่ทำให้ค่าพลังและเกจต่าง ๆ เต็มตลอด) มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อ ‘ขยายขอบเขตการเข้าถึง’ และมอบประสบการณ์การเล่นที่หลากหลายแก่ผู้เล่น ทีมพัฒนาเชื่อว่าโหมดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันของผู้เล่นแต่ละคน แม้ว่าความลึกในเชิงกลยุทธ์อาจลดลงบ้าง แต่ทีมงานมั่นใจว่าโหมดดังกล่าวไม่ได้ทำลายความสนุกของการต่อสู้ทั้งหมด เนื่องจากความตื่นเต้นของแอกชันและอารมณ์ร่วมยังคงอยู่

โดยโหมดนี้จะมอบอิสระให้แก่ผู้เล่นมากขึ้น โดยผู้ที่เน้นเนื้อเรื่องสามารถใช้มันเพื่อดำเนินเรื่องราวได้อย่างราบรื่น และสนุกกับการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ลื่นไหล ในขณะที่ผู้เล่นที่เน้นกลยุทธ์ก็สามารถเลือกที่จะไม่ใช้โหมดนี้ได้ นอกจากนี้ โหมด ‘Simplified Progression’ ยังส่งผลต่อจังหวะในการต่อสู้ (Battle Tempo) โดยทำให้ผู้เล่นสามารถเร่งความเร็วในการต่อสู้ และก้าวหน้าในเกมได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย 

การออกแบบตัวละครใหม่ ‘Yuffie’ และปรัชญาการปรับสมดุล

การเพิ่มตัวละคร ‘Yuffie’ ใน DLC (Episode Intermission) เป็นการทดลองแนวคิดด้านแอกชันที่ทีมพัฒนาต้องการผลักดันให้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ปรัชญาการปรับสมดุลในอนาคต

Yuffie ถูกออกแบบให้มีความสามารถด้านแอกชันที่โดดเด่นกว่าตัวละครหลัก โดยเฉพาะในด้านการต่อสู้กลางอากาศ แม้ว่าในช่วงเวลานั้น Yuffie จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าตัวละครหลักสี่ตัว แต่ทีมงานไม่ได้กังวล เพราะสำหรับการพัฒนาภาค [Rebirth] ในอนาคต ทีมงานตั้งใจจะปรับปรุงตัวละครอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Yuffie เพื่อสร้างความสมดุลที่ดีที่สุด

ปรัชญาสำคัญในการปรับสมดุลของเกมนี้ คือการที่ตัวละครทุกตัวจะยังคงมีประโยชน์ในการต่อสู้ โดยทีมงานจะกำหนดอย่างชัดเจน ว่าตัวละครแต่ละตัวจะโดดเด่นที่สุดในฉากต่อสู้แบบใด เพื่อกระตุ้นให้ผู้เล่นเลือกใช้ตัวละครนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ทีมงานใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการสร้างความรู้สึกหนักแน่นของแอ็กชัน และเผยถึงตัวละครและบอสที่ชื่นชอบจากการพัฒนาด้วย ด้วยความที่เป็นการเอาเกมมาเล่นใน Nintendo Switch ครั้งแรก จึงมีคำถามมากมายเกี่ยบกับส่วนนี้

ความรู้สึกทรงพลังในการต่อสู้ถูกปรับผ่านหลายเทคนิคหลัก ซึ่งรวมถึงการปรับจังหวะของแอนิเมชัน (Motion Timing), การใช้เทคนิค Hit Stop, การสั่นของหน้าจอ (Screen Shake) และการสั่นของคอนโทรลเลอร์ (Controller Vibration) โดยทีมงานเชื่อว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและความรู้สึกเป็นของตัวเอง ด้วยพื้นฐานการทำงานในเกมแอกชันล้วนมาก่อน ทำให้ Battle Director มีความมั่นใจในการสร้างฐานระบบแอกชันที่แข็งแกร่งให้กับเกมนี้

สารถึงผู้เล่นใหม่ ๆ และภาพรวมการเปิดตัวเกม 

สำหรับผู้เล่นใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่โลกของ Final Fantasy VII Remake นั้น คุณเอนโดในฐานะ Battle Director ก็แนะนำว่าเสน่ห์หลักของเกม คือตัวละครที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งผู้เล่นจะสามารถเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้อย่างแน่นอน หากผู้เล่นพบว่าการต่อสู้ยากเกินไป ทีมงานแนะนำให้ลองเปลี่ยนการตั้งค่ามาทีเรีย หรือปรับการตั้งค่าอุปกรณ์ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมเพียงเล็กน้อยที่จะช่วยให้เอาชนะความท้าทายได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ สิ่งที่ทีมงานชื่นชอบเป็นพิเศษในการเปิดตัวบน Nintendo Switch 2 คือการที่ผู้เล่นสามารถเล่นเกมนี้ได้ทุกที่ (Handheld Mode) ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เล่นกลุ่มใหม่ ๆ ได้เข้าถึงเกมมากขึ้น