หลังจากที่ทางแบไต๋เพิ่งจะได้รีวิวออกไปมารูปแบบของบทความไปเมื่อไม่นานมานี้ และพบว่าในเกมภาคดังกล่าวมีหลายสิ่งที่ต่อยอดจากภาคก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย ทางเราก็อยากที่จะนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์ดังกล่าวให้สมกับระยะเวลาที่ตัวเกมดำเนินมากว่า 18 ปี มาดูกันดีกว่าครับ ว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง


1. ดีไซน์ของ Nero สืบทอดเจตนารมย์จากตัวละครเอกของโปรเจกต์เกมที่ถูกยกเลิกไปและ Devil May Cry เวอร์ชั่นรีบูต

Scalebound คือชื่อของโปรเจกต์เกมผู้ให้กำเนิดซีรีส์ DMC อย่าง Hideki Kamiya ที่มีแผนจะเป็นเกม Exclusive บนเครื่องเล่น Xbox one แต่ก็ดันถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะเดียวกันเกมเวอร์ชั่นรีบูตอย่าง DMC: Devil May Cry เอง ที่แม้จะถูกก่นด่า (ด้านเนื้อเรื่องและดีไซน์ตัวละครเป็นหลัก) แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเกมเพลย์ในฉบับนี้ ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายสไตลิช (Stylish) สุดมันแบบที่ซีรีส์นี้เป็นมา ทางทีมของ Capcom จึงนำวัตถุดิบจากสองเกมดังกล่าว ใส่มันลงไปใน Devil May Cry V เพื่อให้ระลึกถึง ผ่านดีไซน์ Nero ตัวละครเอกหน้าใหม่ของเกมในซีรีส์นี้

2. อาวุธ Barlog ได้ชื่อมาจากตัวละครในเกม Street Fighter และต้นตำรับของตัวละครดังกล่าวก็มาจากผู้แต่งนิยาย The Lord of the Rings

เป็นเรื่องปกติแบบสุด ๆ ที่ผู้พัฒนาเกมจะนำวัตถุดิบจากผลงานเก่าของตนไปมาหาสู่ผลงานเกมใหม่ ๆ (ของมันมีก็ต้องใช่สิ!) โดยใน Devil May Cry V อาวุธสนับแขนขาของดันเต้ที่มีชื่อว่า Barlog นั้น หากใครที่เป็นแฟนพันธุ์ทาง Capcom ก็อาจจะเอะขึ้นใจขึ้นมาได้แน่นอนว่ามันคือชื่อเดียวกันกับพ่อหนุ่มนักมวยจากในเกม Street Fighter นี่หน่า! ซึ่งนอกจากที่อาวุธดังกล่าวจะมีการโจมตีในรูปแบบหมัดมวยตามความสามารถของชื่อตัวละครต้นตำรับแล้ว ในความลึกอีกขั้นหนึ่งของชื่อ Barlog นั้น ต้นตำรับตั้งต้นเลยได้นำมาจากสิ่งมีชีวิตโบราณที่มีพลังควบคุมไฟจากในนิยาย The Lord of the Ring ของ J.R.R Tolkien อีกทีครับ

3. Devil May Cry กำลังจะมีเกมฉบับมือถือด้วยนะ (แต่ยังพัฒนาอยู่ใจเย็น ๆ)

ยุคนี้หลายค่ายเกมต่างก็พัฒนาหรือพยายามนำ IP ของตนมาดัดแปลงให้ออกมาเป็นเกมฉบับมือถือกันจนเป็นเรื่องปกติ จนถึงขึ้นที่หลากหลายเกมเองยังสามารถถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปดัดแปลงต่อยอดได้ ซึ่ง Devil May Cry: Pinnacle of Combat ก็เป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์เกมฉบับมือถือของซีรีส์ปีศาจสะอึ้นที่แม้ Capcom จะไม่ได้ลงมือทำเอง แต่ก็พอจะเชื่อใจได้อยู่ (มั้ง) เพราะผู้พัฒนาที่นำเกมไปทำคือ Yuchang Game ที่ได้มีโอกาสนำโปรเจกต์เกมที่ว่านี้ไปเผยตัวในงาน Conference ของแบรนด์มือถือจีนอย่าง Oppo ในปี 2017 เลยนะ

4. ดันเต้ไม่ต้องรีโหลดเพราะ “กระสุนวาร์ปเข้ารังเพลิงเองยังไงล่ะ”

นี่อาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่มองข้ามได้ แต่ถ้าเอามาคิดเป็นหลักเป็นแหล่ง มันก็อาจจะเป็นปัญหาเชาว์ระดับหนักสมองได้เช่นเดียวกัน นั่นคือทำไมพ่อหนุ่มดันเต้ของเราถึงยิงปืนออกได้ไม่จำกัดและไม่ต้องรีโหลดกระสุน ซึ่งบุคคลที่จะให้คำตอบนี้ได้อย่างแน่ชัดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ บิดาของซีรีส์นี้อย่างนาย Hideki Kamiya นั่นเอง! ซึ่งเขาก็ได้ให้คำตอบกลับไปยังแฟนๆ ที่ถามไถ่เรื่องดังกล่าวผ่านยังทวิตเตอร์ส่วนตัวของตนไว้ว่า “เข้าดึงกระสุนมาจากคลังเก็บอาวุธด้วยการใช้พลังวาร์ปมา แบบเดียวกันร้านค้า Rodin ในเกม Bayonetta ไงล่ะ” แต่เราว่ามีอีกคำตอบหนึ่งนะที่สมเหตุสมผลกว่าเยอะ นั่นคือจะเสียเวลารีโหลดกระสุนทำไม “มันไม่เท่”

5. ซีรีส์ Devil May Cry ได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวีชื่อดัง Divine Comedy

แม้จะดูต่างกันคนละขั้วก็ตามเถอะ แต่ซีรีส์เกมแอกชั่นฟันดะยียวนกวนประสาทนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวีชื่อดังจากแดนอิตาลีอย่าง Divine Comedy อันว่าด้วยการปลูกฝังปรัญชาด้านเทววิทยาของศาสนาคริส โดยบรรดาสิ่งที่ซีรีส์ดังกล่าวนำมาใช้นั้น มีดังนี้ครับ

  • ชื่อตัวเอกของซีรีส์อย่าง Dante เป็นชื่อเดียวกันกับผู้ประพันธ์ที่ซ้ำยังเป็นตัวดำเนินเรื่องในนิยายอย่าง Dante Alighieri
  • ชื่อของอีกหนึ่งตัวละครหลักของซีรีส์อย่าง Vergil ก็มีต้นตอมาจากชื่อตัวละครเดียวกันในฉบับกวีครับ แต่บทบาทในฉบับตั้งต้นจะไม่ใช่พี่ชายฝาแฝด หากแต่เขาจะเป็นนักบุญโรมันผู้นำทาง Dante ไปยังแดนนรกภูมิและดินแดนแห่งการล้างบาป
  • นอกจากนี้ชื่อของบอสหลายตัวในซีรีส์ก็ถูกนำมาใช้จากบทกวีต้นฉบับเช่นเดียวกัน อาทิ Geryon (บอสม้าหยุดเวลาได้ในภาค 3), Cerberus (บอสในภาค 3 ที่จะได้รับอาวุธเป็นกระบองสามท่อนเมื่อล้มลงได้) ฯลฯ

6. รูปทรงของ Orbs ทั้งหลายในเกมได้แรงบันดาลใจมาจาก (Beherit) เบเฮริตในมังงะ/อนิเมะ Berserk

ข้อนี้ไม่มีหลักฐานมายืนยันหรอกนะครับ แต่ดูจากอายุอานามซีรีส์ของเกมนี้แล้ว คนในองค์กรของ Capcom หลายคนน่าจะทันอนิเมะ/มังงะในอดีตชื่อดังหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องมี Berserk อยู่ด้วยเป็นแน่ และทางทีมงานน่าจะดัดแปลงรูปทรงของเบเฮริต (Beherit) หรือเครื่องประดับหน้าตาพิกรพิการที่ทำให้เกิดความโกลาหลในเรื่องมาดัดแปลงเป็นบรรดา Orbs ลูกพลังต่าง ๆ ในซีรีส์เกมนี้ครับ

7. เคยจับมือกับแบรนด์เสื้อ Diesel

นี่สิถึงจะเรียกว่าการใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Devil May Cry 2 นั้น เกมเมอร์หลายคนลงความเห็นเป็นเสียงส่วนมากออกมาว่า “คุณพระ ดีไซน์เสื้อเอ็งจะเท่ไปไหน” แต่ในขณะด้านพวกเขาก็พร้อมใจจะประนามเกมเพลย์อย่างพร้อมเพรียงว่า “คุณพระ ทำไมเอ็งถึงห่วยบรมขนาดนี้!?”

และเมื่อ Capcom รู้สิ่งนี้ดี ในช่วงเวลาก่อนตัวเกมจะพัฒนาเสร็จ พวกเขาจึงได้สานมิตรกับแบรนด์เสื้อ Diesel ด้วยการให้เป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายพิเศษที่ต้องปลดล็อคออกมาสวมใส่ได้ เอิ่ม พี่ครับ… นี่จะมาล่าปีศาจหรือมาเดินเวทีมองกัน

8. Devil May Cry 3 มีโหมดมัลติเพลเยอร์ซ่อนอยู่!

Play video

การซุกซ่อนความลับให้ผู้เล่นเจอด้วยตัวเองคือเรื่องถนัดของ Capcom ซึ่งใน Devil May Cry 3 นั้น ก็ได้มีโหมดมัลติเพลเยอร์อย่างคละหลวมให้เล่นได้ด้วยนะจะบอกให้! วิธีการนั้นก็ไม่ยาก แค่เราต้องปลดล็อคความสามารถ Doppleganger ให้ได้เสียก่อน จากนั้นเราก็แค่แปลงเป็นร่างปีศาจและกดท่าดังกล่าว จากนั้นก็ให้จอยสองกดปุ่มสตาร์ท เท่านี้เราก็เฮฮากับเพื่อนได้แล้วล่ะ (แต่ทั้งนี้ มันไม่ถาวรนะเพราะเกจพลังปีศาจหมดเมื่อไหร่ ร่างคู่ขนานเราก็จะหายไป และก็ต้องกลับไปวกทำวิธีเดิม)

9. ผมไม่ได้ก๊อป! ตัวละคร V ถูกพัฒนาขึ้นก่อน Star Wars: Force Awaken นะ

ไม่ว่าใครที่ได้เห็นตัวละคร V ในครั้งแรก ก็ย่อมนึกไปถึงความละม้ายคล้ายคลึงของเขาที่มีกับ Adam Driver หรือผู้สวมบทบาทหลานสุดหัวร้อนของดาร์ธ เวเดอร์อย่าง Kylo Ren เป็นแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ ทางผู้พัฒนาบอกมาว่า V ถูกพัฒนาก่อนที่ภาพยนตร์ปฐมบทครั้งใหม่อย่าง Star Wars: Force Awaken นะ แถมยังมีหลักฐานที่เถียงไม่ได้เป็นผู้ให้ใบหน้าตัวละครดังกล่าวที่มีชื่อว่า Owen Hamze อยู่นะเออ

Owen Hamze ผู้เป็นแบบใบหน้าให้กับตัวละคร V 

10. ศัตรูที่ชื่อ The Nobodies ในภาค 5 สวมหน้ากากเหมือนมังงะ/อนิเมะเรื่องโจโจล่าข้ามศตวรรษ

สืบเนื่องจากข้อ 6 ที่เห็นได้ชัดว่าทีมงาน Capcom ก็เป็นสายมังงะ/อนิเมะกันพอสมควร เพราะศัตรูในภาค 5 ที่ซ้ำยังเคยปรากฎตัวมาก่อนในภาคแรกอย่าง The Nobodies นั้น ในภาคล่าสุดนี้ก็ได้มีการอ้างอิงถึงมังงะ/อนิเมะในตำนานอย่างโจโจ ล่าข้ามศตวรรษ ผ่านรูปแบบของหน้ากากที่พวกมันสวมใส่ซึ่งคลับคล้ายคลับคลากับหน้ากากศิลาอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว (เอ้าเพลงมา! ตึง ตือ ตึด ตือ ตึด To Be Continue…)

11. เห็นพิซซ่าปรากฎในเกมบ่อยไม่ใช่อะไร! ทีมงานแค่อยากบอกเป็นนัยให้คนเล่นรู้ว่า พวกเขากินกันจนเอียนระหว่างพัฒนาเกมนี้กัน!

เชื่อว่าฉากเปิดเกมในด่านแรกของ Devil May Cry 3 น่าจะเป็นภาพติดตาของใครหลาย ๆ คนที่ได้เล่นในตอนนั้น ที่พ่อหนุ่มดันเต้ของเราปะทะกับเหล่ากีกี้พร้อมคาบพิซซ่ากลางอากาศไปในตัว ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ในฉากนั้นมันจะเป็นอาหารอะไรก็ได้ที่มาเล่นกับลีลาการต่อสู้ของดันเต้ แต่เหตุผลที่ทีมงานเลือกจะใช้พิซซ่าก็เป็นเพราะพวกเขาอยากบอกให้ผู้เล่นได้รับรู้แบบเป็นนัยว่า “พวกตรูสั่งมากินกันจนหน้าจะเป็นเปปเปอร์โรนี่กันอยู่แล้วในระหว่างพัฒนาเกมนี้!”

12. จี้สร้อยคอของ Dante มีสัญลักษณ์เดียวกันกับลัทธิ Los Illiminados ใน Resident Evil 4

อันนี้จริง ๆ แล้วค่อนข้างเห็นได้ชัดในภาคที่ 4 นั่นคือจี้สร้อยคอของดันเต้ที่บอกเลยล่ะว่าเป๊ะเอามาก ๆ ซึ่งตัวเกมก็ไม่ได้อะไร เพราะทั้งสองเกมต่างก็เป็น IP จากทาง Capcom ทั้งสิ้น แต่ก็นะ นายนี่เข้าใจหมุนเวียนวัตถุบดิบที่มีเหลือเกินพี่แคป

13. ถ้าคุณเปิดเพลงหน้าเมนูเข้ามิชชั่นในภาค 3 แบบย้อนหลัง มันจะกลายเป็นเพลงหน้าเมนูมิ่ชชั่นของภาคแรก!

Play video

อีกหนึ่งสิ่งที่ Capcom ซุกซ่อนมันไว้ให้ผู้เล่นได้เจอด้วยตัวเอง นั่นคือเพลงก่อนเริ่มมิชชั่นในภาคที่ 3 นั้น หากผู้เล่นหาวิธีเล่นเพลงดังกล่าวแบบย้อนหลังได้ เพลงที่เราจะได้ยินก็จะกลายเป็นเพลงเริ่มมิชชั่นในภาคแรก ซึ่งความลับนี้ก็ถูกค้นพบผ่านแชนแนลยูทูบหนึ่งที่คลั่งไคล้ซีรีส์ Devil May Cry เอามาจาก ๆ จนสามารถฝึกวิชาฟังเพลงย้อนกลับได้ (อันนี้ล้อเล่นนะ…)

14. ดันเต้และตระกูลมีผมสีขาวเพราะอิงตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น

แน่นอนว่า Capcom คือบริษัทเกมสัญชาติญี่ปุ่น ฉะนั้นการสร้างสรรค์ของพวกเขาออกมาก็ดูจะเป็นเรื่องปกติที่จะใส่กิมมิคหรือความเป็นชาติของตนลงไปในเกม และแน่นอนว่าหลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่าเหตุใดตระกูลของดันเต้ (ตัวเขาเอง เวอร์จิล และนีโร่) ถึงมีผมเป็นสีขาว?

ออกตัวก่อนละกันครับว่า คำตอบในข้อนี้อาจไม่ได้มาจากต้นตอหรือทาง Capcom โดยตรง หากแต่เป็นเหตุผลจากเว็บไซต์แฟนเดนตายของซีรีส์นี้ ที่เขาได้ให้สาเหตุมาว่าตามความเชื้อพื้นบ้านของญี่ปุ่นนั้น บุคคลที่มีผมสีขาวจะเกิดจากการที่ถูกปีศาจสิงสู่ครับ ซึ่งมันก็ตรงกับบริบทในซีรีส์ Devil May Cry พอดีที่กลุ่มตัวเอกนั้นเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจกัน

15. Cavaliere คือมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันกับในภาค 2!?

การสานต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ Capcom ทำไว้ได้ดีในผลงานเกมของตนไม่แพ้การซุกซ่อนความลับเอาไว้ โดยในภาคที่ 5 นี้ Cavaliere อาวุธชิ้นหนึ่งของดันเต้อันเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สามารถแบ่งซีกออกมาเป็นเลื่อยถือสองมือได้นั้น คาดว่าน่าจะเป็นคันเดียวกันกับมอเตอร์ไซค์ที่ด้นเต้ได้เคยขับลงไปยังนรกในภาคที่ 2 (ก่อนที่จะหลอมรวมกับบอสแล้วกลายเป็นอาวุธชิ้นดังกล่าวในที่สุด)

Play video

ที่มา: Wikia, youtube