เดี๋ยวนี้เกมฟอร์มยักษ์ที่ทยอยกันออกมาเป็นแถวทุกปี ๆ เริ่มเล่นเหมือนกันไปหมดจนทำให้เกมเมอร์ตัวจริง (?)​ อย่างพวกเราเริ่มชาชิน มองไปทางซ้ายก็ Battle Royale ทางขวาก็ Hero Shooter ข้างหน้าก็ Open-World อีกแล้ว ซึ่งการนั่งเล่นเกมที่เราคุ้นเคยมันก็สบายใจดีแหละ ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร แต่สำหรับคนที่ต้องการหารสชาติแปลกใหม่ให้ชีวิต หาเกมเพลย์ล้ำ ๆ ที่จะทำให้จิตวิญญาณเกมเมอร์ข้างในรู้สึกซาบซ่านขึ้นมาอีกครั้งวันนี้เรามีของแปลกและดีมาแนะนำให้ดื่มด่ำกัน 5 เกม เกมที่มาพร้อมกับฟีเจอร์แปลกใหม่ที่ทำออกมาได้ดีเกินคาด หยิบมาเล่นเมื่อไหร่ก็ยังรู้สึกว่าล้ำแซงหน้าเกมอื่น ๆ ไปหลายลี้ ช่วยให้เราประจักษ์ว่าวงการเกมยังไปต่อได้อีกไกลโข

อันดับ 5: Mass Effect 2 

ฟีเจอร์เด็ด: งานดีไซน์เกมขั้นเทพที่ทำให้ทุกการตัดสินใจของคุณมีผลต่อเนื้อเรื่อง

นี่คือเกมแอ็กชันสวมบทบาทที่กำหนดนิยามของคำว่า “ทุกตัวเลือกของผู้เล่นต่างส่งผลต่อเนื้อเรื่องในเกม” ให้แก่วงการ เพราะการตัดสินใจทุกอย่างที่คุณเลือกนั้นอาจทำให้ตัวละครหลักทั้งหลายในเกมรอดหรือเดี้ยงในตอนจบก็ได้ แม้แต่ตัวเอกอย่าง Shepard ที่คุณเล่นก็มีสิทธิ์ตายตอนจบได้หากคุณเล่นซี้ซั้วแบบไม่ระวังตัวสุด ๆ (ซึ่งเอาเข้าจริงก็ยากมากอยู่นะ ถ้าทำได้นี่สมควรได้โล่)​

แต่ละส่วนประกอบของเกม Mass Effect 2 ได้รับการออกแบบให้สามารถเรียงสลับกันไปมาได้ประหนึ่งเป็นงานประติมากรรมตัวต่อเลโก้ชิ้นใหญ่ เรื่องที่น่ายกนิ้วให้มาก ๆ ก็คือไม่ว่าเราจะเลือกตัดสินใจอย่างไรหรือเลือกทำอะไรก่อนหลังในเกม ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็ยังเรียงร้อยกันออกมาจนดูลงตัวไม่ต่างกัน เนื่องจากทีมพัฒนาเกมเขาคิดดักไว้หมดแล้วว่าผู้เล่นจะได้เห็นบทสนทนาหรือเหตุการณ์แบบใดหากสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นก่อนหรือเกิดทีหลัง มีตัวละครไหนอยู่หรือไม่อยู่ในเหตุการณ์บ้าง เรียกได้ว่าเป็นการเก็บงานแบบเนียนจนหารอยตะเข็บไม่เจอเลยทีเดียว

งานดีไซน์เกมที่รัดกุมสุด ๆ ของ Mass Effect 2 ช่วยให้เกมเมอร์สามารถเล่นเกมนี้ซ้ำได้หลายต่อหลายรอบโดยไม่เบื่อ เพียงเพื่อที่จะดูเส้นเรื่องที่ต่างออกไปจากเดิม เช่น รอบนี้ฉันจะเล่นเป็นพ่อพระอวกาศที่พาทุกคนรอดชีวิตกลับมา รอบหน้าฉันจะเป็นอันธพาลแห่งจักรวาลที่ไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น หรือรอบที่ 3 อาจจะเล่นแนวผสม ๆ ดีมั่งร้ายมั่งแล้วให้มีลูกทีมตายสักคนสองคนเพื่อทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้น เป็นต้น ทั้งหมดนี้คุณสามารถเล่นให้เกิดขึ้นได้ด้วยมือเกมเมอร์ทั้งสิ้น

นอกเหนือไปจากฟีเจอร์เรื่องการตัดสินใจของผู้เล่นที่เป็นไฮไลต์ เกมยังมีน้ำจิ้มรสเด็ดเป็นเป็นเนื้อเรื่องแนว “7 เซียนซามูไร” เวอร์ชันอวกาศที่สนุกน่าติดตาม เต็มไปด้วยเควสต์ที่จะพาเราไปรู้จักกับเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนให้ดีขึ้นจนรู้สึกผูกพันกับพวกเขาในตอนท้าย ถึงแม้ Mass Effect ภาคแรกและ Mass Effect ภาค 3 จะเป็นเกมดีมีคุณภาพไม่ทิ้งกับภาค 2 เท่าไหร่ แต่งานดีไซน์เกมขั้นเทพของ Bioware ที่ฝากไว้ในภาคนี้ทำให้มันโดดเด่นเตะตากว่าภาคไหน และทำให้เกมเมอร์ตัวจริงที่ชื่นชอบเกม RPG ควรลองเล่นมันสักครั้ง (หรือหลายครั้งก็ได้นะ)​ 

อันดับ 4: Middle-earth: Shadow of Mordor

ฟีเจอร์เด็ด: ระบบ “คู่ปรับ” ที่จะเปลี่ยนให้ NPC ศัตรูลูกกระจ๊อกกลายเป็นตัวร้ายที่น่าจดจำ

อันที่จริงเกม Middle-earth: Shadow of Mordor ไม่ได้มีองค์ประกอบเกมที่แตกต่างไปจากเกมแอ็กชัน Open-world อื่น ๆ สักเท่าไหร่ เพีงแต่ว่าฟีเจอร์ “Nemesis” ที่เกมนี้ใส่เข้ามามันช่างแปลกใหม่มากชนิดที่หาระบบที่ดูคล้ายกันในเกมอื่นไม่เจอเลย โดยระบบนี้จะสุ่มออร์คคู่อาฆาตหน้าใหม่มาให้ Talion สู้อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งออร์คเหล่านี้ต่างมีบุคลิกเฉพาะตัวและมีวิธีถากถางพระเอกของเราแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าผู้เล่นไปก่อกรรมอะไรกับมันไว้ (หรือโดนพวกมันกระทืบเอาไว้อย่างไรก่อนหน้านี้)​

หากคุณไปย่างสดออร์คนายหนึ่งจนม่อง มันอาจจะกลับมาพร้อมกับแผลไฟไหม้เต็มตัว มีสกิลทนไฟ และยังพกความอาฆาตมาวิ่งไล่ฟันคุณแบบพลิกแผ่นดิน ในขณะที่ออร์คลูกกระจ๊อกที่ฟลุคลงดาบสังหารคุณได้ก็อาจจะได้เลื่อนยศเป็นเจ้าคนนายคน แล้วเวลามันเจอคุณก็จะชะล่าใจวิ่งเข้าใส่เพราะหลงคิดไปว่าเคยเชือดคุณได้แล้วเมื่อนำเหตุการณ์สุ่มลักษณะนี้มาผสมกับเกมเพลย์การต่อสู้ที่ลื่นไหลแต่เรียบง่าย รวมทั้งแผนที่แบบเปิดกว้างที่มีทัพออร์คเพ่นพ่านเกลื่อนไปหมด ทำให้เกมเมอร์อย่างเราสามารถจมอยู่กับโลกใน Shadow of Mordor แบบลืมวันลืมคืนได้ไม่ยากเลย 

อีกจุดที่สำคัญคือระบบ Nemesis ไม่ได้มอบแค่มินิบอสให้ผู้เล่นเอาไว้สู้ได้เรื่อย ๆ แต่มันยังมอบเรื่องราวเล็ก ๆแต่น่าจดจำให้เกมเมอร์แต่ละคนแบบไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุณไล่ล้างแค้นออร์คตัวแรกที่สังหารคุณได้แบบพลิกแผ่นดินแต่ก็ดันพลาดท่าตายแล้วตายอีก ตอนได้เห็นออร์คที่โดนคุณจับล้างสมองเติบใหญ่ได้ดีในกองทัพจนอดภูมิใจไม่ได้ หรือตอนที่คุณไล่ตื้บออร์คที่น่าสงสารซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสุดท้ายมันถึงกับพูดไม่เป็นภาษาคน ซึ่งเอาจริง ๆ เรื่องราวที่สุ่มเกิดขึ้นมาเองพวกนี้สนุกกว่าเส้นเรื่องหลักของเกมซะอีก คุณอาจจะเล่นเกมนี้จบแล้วก็ลืมเนื้อเรื่องหลักแทบจะทันที แต่เรื่องราวที่คุณได้ต่อกรกับออร์คคู่ปรับตัวแสบจะอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนานแสนนาน

อันดับ 3: Hades

ฟีเจอร์เด็ด: เกม Rogue-like ที่ผสานเส้นเรื่องเข้ากับเกมเพลย์อย่างลงตัวจนหยุดเล่นไม่ได้

เกมเมอร์อย่างเราก็รู้กันดีว่าปกติเกมแนวลงดันเจียนแบบสุ่ม แล้วก็เกิด ตาย วนเวียน หรือ Rogue-like มักจะเน้นแค่ความสนุกจากเกมเพลย์แบบวนลูปซ้ำ ๆ และไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องอะไรสักเท่าไหร่ แต่ Hades ได้เข้ามาเปลี่ยนภาพจำของเกมแนวนี้อย่างสิ้นเชิง ทีมพัฒนา Supergiant Games ทำให้เราได้ประจักษ์ว่าเกมแนว Rogue-like ก็สามารถมอบเรื่องราวที่น่าติดตามและเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกมได้ ขอเพียงแค่คนทำเกมมีฝีไม้ลายมือมากพอและพร้อมที่จะฉีกขนบเดิม ๆ ของเกมแต่ละแนวก็แค่นั้น

ในระหว่างที่คุณเล่น Hades แล้วตายแล้วตายอีก เกมก็จะค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวของพระเอก Zagreus และคนรอบตัวของเขาให้ผู้เล่นได้รับรู้ทีละนิด ทุกครั้งที่พระเอกต้องตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ที่นรก บมสนทนาใหม่ ๆในเกมก็จะเปิดเผยให้รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของมิตรสหายในแดนอเวจีของเขา (ซึ่งก็ดันเข้ากับธีมเรื่องในเกมอีก เพราะพระเอกคือเทพแห่งการคืนชีพ)​ จุดนี้ทำให้การตายในเกมไม่ใช่เรื่องน่าขัดใจ เพราะคุณจะได้กลับมาคุยกับตัวละครตัวนั้นตัวนี้และได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจใหม่ ๆ ไปเรื่อย เรียกได้ว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้เกมเมอร์อยากเล่นใหม่อีกรอบ ถึงแม้จะพิชิตบอสใหญ่ได้แล้วก็ยังอยากกลับไปเล่นวนต่ออีกหลายรอบ เพื่อเก็บปมเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังเหลืออยู่ให้ครบ

ที่สำคัญคือเกมเพลย์ในส่วนของแอ็กชันของ Hades ก็สนุกสะใจมาก ระบบสุ่มแผนที่และสุ่มพลังเทพในแต่ละรอบก็ช่วยแก้เบื่อให้กับการลงดันเจียนแต่ละครั้งได้เป็นอย่างดี ส่วนระบบอัปเกรดตัวละครกับพลังอาวุธนิด ๆหน่อย ๆ ก็ช่วยให้คนที่เล่นเกมนี้บ่อย ๆ สามารถผ่านเกมนี้ได้เร็วขึ้น โดยไม่ได้ทำให้เกมหมดความท้าทายแต่อย่างใด เชื่อเถอะว่าเมื่อคุณเล่นเกมนี้ไปได้สักพักจนเริ่มชินมือ ลึก ๆ ในใจของคุณจะแอบคิดว่าไม่อยากให้ศึกฝ่านรกในครั้งนี้จบลงเลย เพราะนอกจากมันจะเล่นสนุกสุด ๆ เนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามก็จะล่อลวงให้คุณอยากตายแล้วเกิดใหม่อีกสักรอบ

อันดับ 2: Microsoft Flight Simulator

ฟีเจอร์เด็ด: ขับเครื่องบินชมโลกของเราในสเกล 1:1 แบบเรียลไทม์!

จะมีเกมไหนอีกที่สร้างแผนที่ให้เกมเมอร์ได้ขับเครื่องบินเล่นในแผนขนาดใหญ่เท่าโลกที่เราอาศัยอยู่ในสัดส่วน1:1 ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือสภาพภูมิประเทศทั้งป่าเขาลำเนาไพรและเขตบ้านเรือนเมืองหลวงในประเทศต่าง ๆ ยังได้รับการจำลองออกมาจนแทบจะเหมือนของจริงเป๊ะ! เรื่องเหล่านี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดฮาร์ดแวร์เกมที่ล้ำสมัยเพียงพอ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีส่งข้อมูลเกมผ่านคลาวด์สุดล้ำ และทีมพัฒนาเกมขั้นเทพที่อยู่กับซีรีส์ Microsoft Flight Simulator มาเกือบ 40 ปี

นอกจากเรื่องสภาพภูมิประเทศ วัน เวลา และสภาพภูมิอากาศในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลกภายใน Microsoft Flight Simulator ยังถอดออกมาจากสถานการณ์ในโลกจริงตอนนี้ นั่นหมายความว่าช่วงเวลากลางวันกลางคืนของสถานที่ที่คุณกำลังบินอยู่ในเกมก็จะเป็นไปตามเวลาในความเป็นจริง และหากคุณเห็นรายงานข่าวว่าเกิดสภาพอากาศแปรปรวนหรือพายุลูกใดขึ้นที่มุมไหนของโลก มันก็จะปรากฏให้เห็นบนเส้นทางการบินของคุณและมีผลกระทบต่อประสบการณ์การบินของคุณตอนนั้นเลย

นอกจากนี้ ซีรีส์ Flight Simulator ยังขึ้นชื่อเรื่องการจำลองประสบการณ์ขับเครื่องบินที่สมจริงและละเอียดที่สุดเครื่องบินแต่ละลำได้รับการถอดมาอย่างเหมือนจริงเกือบ 100% (ถึงขนาดที่ผู้เล่นสามารถเอาคู่มือของเครื่องบินจริงรุ่นนั้นมาอ่านประกอบการเล่นได้เลย คิดดู) อุปกรณ์ทั้งหลายในห้องคนขับก็สามารถใช้งานได้จริงเกือบทุกชิ้น อีกทั้งโมเดลเครื่องบินทุกลำต่างใช้ระบบฟิสิกส์ของหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้ลม ฝน พายุ ต่างมีผลต่อการบังคับ นอกจากนี้ ภาพแสงสีและกราฟิกในเกมนี้ยังสวยงามมากจนแทบไม่ต่างจากภาพถ่าย ฟีเจอร์นวัตกรรมสุดล้ำทั้งหลายในเกม Microsoft Flight Simulator ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับคนที่อยากออกเดินทางไปดูโลกในเวลานี้ ลองขึ้นบินในเกมนี้แล้วเปลี่ยนมุมมองมาเป็นมุมจากที่นั่งโดยสารดูสิ มันอาจทำให้คุณลืมตัวไปเลยว่านี่เรากำลังนั่งเครื่องบินไปเที่ยวทริปญี่ปุ่นอยู่รึเปล่านะ?

อันดับ 1: No Man’s Sky 

ฟีเจอร์เด็ด: ท่องจักรวาลไร้ที่สิ้นสุดในหมู่ดาวล้านล้านดวง

เกม Open-world ทุนหนาบางเกมอาจจะสร้างแผนที่ใหญ่ ๆ หลายตารางกิโลเมตรขึ้นมาให้เล่น บางเกมที่ทะเยอทะยานหน่อยอย่าง Flight Simulator ก็อาจจะสร้างทวีปหรือโลกขึ้นมาทั้งใบให้บินสำรวจ แต่ No Man Sky ยกระดับความระห่ำขึ้นไปอีกขั้นเพราะพวกเค้าเล่นสร้างจักรวาลขึ้นมาทั้งจักรวาลเลย จักรวาลในโลกเสมือนที่ได้รับการสุ่มตั้งแต่ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ที่มีจำนวนเป็นล้านล้านดวงเปิดให้เกมเมอร์บินไปสำรวจได้ตามใจ นั่นหมายความว่าประสบการณ์การเล่นที่เกมเมอร์แต่ละคนจะได้รับจากการเล่นเกมนี้แทบไม่มีทางไม่ซ้ำกันเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้จุดเริ่มต้นจะดูคล้ายกันบ้าง แต่หากคุณเผลอออกสำรวจนอกลู่นอกทางเมื่อไหร่ คุณก็สามารถคุยอวดเพื่อนได้แล้วว่าประสบการณ์ท่องอวกาศใน No Man’s Sky ของคุณไม่ซ้ำกับชาวบ้าน

เรื่องที่น่าทึ่งก็คือเกมอื่นอย่าง Borderlands อาจจะสุ่มปืนขึ้นมาเป็นล้านกระบอก เกมแนว Rogue-like ก็อาจจะสุ่มแผนที่หรือสุ่มตัวละคร NPC ใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ No Man’s Sky ใช้อัลกอริทึมสุ่มจักรวาลที่ประกอบไปด้วยหมู่ดาวจำนวนแทบนับไม่ถ้วน แต่ละดวงก็เปิดให้ผู้เล่นลงไปเดินเล่นได้เป็นชั่วโมง แถมในดาวยังสุ่มมีสิ่งมีชีวิตประหลาด ๆ สายพันธุ์ต่างดาวออกมาให้สำรวจกันเป็นหลักล้านสปีชี่ส์ และถึงแม้ตอนที่เกมเพิ่งออกมามันอาจจะดูกลวง ๆ ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ แต่ทีมพัฒนา Hello Games เขาก็ขยันออกอัพเดตใหญ่ ๆ มาอย่างไม่ขาดสายเป็น 10 รอบ จนทำให้ตอนนี้เกมมีครบทั้งฟีเจอร์สร้างอาณานิคมอวกาศของตัวเอง โหมดเล่นออนไลน์กับเพื่อนเต็มรูปแบบ และยังให้คุณแต่งยานส่วนตัวหรือหุ่นเกราะได้สารพัด จนสามารถพูดได้เต็มปากว่า No Man’s Sky คือเกมสำรวจอวกาศที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

No Man’s Sky อาจจะไม่ได้เหมาะกับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ เพราะเกมไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเลย ส่วนระบบต่อสู้ในเกมก็ธรรมดาสุด ๆ แต่ถ้าสิ่งที่คุณมองหาคือเกมที่ให้คุณบินพร่ำเพื่อ ออกสำรวจหาอะไรแปลกใหม่ในอวกาศไปเรื่อย ๆ แบบมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด คุณสามารถซื้อเกมนี้เกมเดียวในชีวิตแล้วนั่งเล่นไปได้ตั้งแต่เด็กยันแก่เลยครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส