[Review] Marvel’s Spider-Man 2 เกมที่ถูกออกแบบมาเพื่อ Fan Service
Our score
8.0

Marvel’s Spider-Man 2

จุดเด่น

  1. เนื้อเรื่องที่เขียนมาได้ดี เล่าเรื่องได้น่าติดตาม
  2. Side Quest ที่ออกแบบมาได้ดีมาก ๆ
  3. ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม

จุดสังเกต

  1. กราฟิกที่ไม่ได้สวยงามมากขนาดนั้น
  2. ตัวร้ายอย่าง Kraven ที่ไม่ได้น่าจดจำ

ในยุคนี้เกมแนวแอ็กชันผจญภัยที่มีเนื้อเรื่องเป็นตัวขับเคลื่อนนั้น ยังคงขายได้ พร้อมทั้งได้รับความนิยมตลอดเรื่อยมา Marvel’s Spider-Man 2 นั้นได้เอาสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้มาใช้ พร้อมกับขยายขอบเขตออกไป ด้วยการใส่ Fan Service ต่าง ๆ เข้ามามากมาย พูดได้เต็มปากว่านี่คือเกมสำหรับสาวก Spider Man ที่แท้จริง และทำขึ้นมาสำหรับแฟน ๆ โดยเฉพาะ ที่สำคัญคือเกมนี้มีการแปลไทยด้วย!

ผลงานใหม่จาก Insomniac Game ผู้อยู่เบื้องหลังเกมแอ็กชันผจญภัยอย่าง Spyro the Dragon , Ratchet & Clank และผลงานขึ้นชื่ออย่าง Sunset Overdrive ที่ได้หันมาร่วมมือกับ Marvel Entertainment ปล่อยงานชิ้นใหม่อย่าง Marvel’s Spider-Man ออกมาในปี 2018 ตัวเกมมีเสียงตอบรับที่ดีมากจากทั้งแฟนเกมและเหล่านักวิจารณ์ พร้อมกับปล่อยภาค Miles Morales สำหรับ PS5 ออกมาในปี 2020 และในปีนี้ 2023 ก็ถึงเวลาของภาคต่ออย่างเป็นทางการสักที หลังจากปล่อยให้แฟน ๆ ค้างคาใจกันมานาน กับฉากจบของภาคแรก

การมาของ Marvel’s Spider-Man 2 นั้น อาจจะไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรที่น่าตื่นเต้นจากภาคแรกมากนั้น โดยรวมแล้วมันก็ยังคงเป็นเกมเดิม ที่มีรูปแบบการเล่นเหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยสกิลท่าทางการต่อสู้ใหม่ ๆ รวมไปถึงการมาของ Symbiote ที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับตัวเกมมากยิ่งขึ้น ตัวเกมยังคงใช้ฉากหลังเป็นเมือง New York เช่นเดิม หรือจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ มันก็เหมือนเราได้ดูหนังภาคต่อเรื่องนึง ที่ยังมีรสชาติเดิม ๆ อยู่ เพิ่มเติมคือมีเมนูใหม่ ๆ เข้ามา สร้างสีสันความอร่อยให้เราตลอดทั้งเกม

ในมุมมองของแฟนเกมเองก็คงอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ในมุมมองของคนอื่น ๆ ที่ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิมก็อาจจะผิดหวังเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม Marvel’s Spider-Man 2 นั้นเป็นเกมที่สร้างขึ้นมาเพื่อแฟน ๆ สไปเดอร์แมนโดยเฉพาะ และมันก็ทำได้ดีมาก ๆ อีกด้วยครับ

ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับตัวเกมที่ใช้รีวิวในครั้งนี้ครับ


Story


ตัวเกมจะเล่าเรื่องต่อจากฉากจบของภาคแรก โดยตอนนี้ทั้ง Peter Parker และ Miles Morales ได้มาเป็นคู่หูสไปเดอร์แมนออกช่วยเหลือชาวเมือง เป็นเพื่อนบ้านที่แสนดีกันทั้งคู่แล้ว ตอนต้นเกมเราได้เข้าถึงชีวิตของปีเตอร์ที่ต้องประสบปัญหาการใช้ชีวิตในวัยทำงาน รวมไปถึงปัญหาวัยรุ่นของไมลส์ ที่เอาเข้าจริงต้องชื่นชมทีมงานตรงจุดนี้ว่าสามารถเล่าเรื่องได้ดี ไม่รู้ว่ามันซ้ำซากหรือติดขัดอะไร อย่างที่ผมได้บอกไปในตอนแรก ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ดูหนังภาคต่อเรื่องนึง ที่มาจากการวางโครงเรื่องไว้เป็นอย่างดี มีแบบแผน ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดอะไรเลย

ในฉากจบภาคแรกนั้น เราจะได้เห็นการมีอยู่ของ Symbiote ที่อยู่ในตัว Harry Osborn โดยในภาคนี้มันก็จะการขยายความในส่วนนี้ และทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของแฮรี่กับปีเตอร์มากยิ่งขึ้น สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือการเล่าเรื่อง ที่ต้องขอชมทีมงานเลยว่า พวกเขาสร้าง Character Development ออกมาได้เป็นอย่างดีมาก ไม่รู้สึกว่ามันช้าหรือยึดเรื่องมากเกินไป แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันพยายามเล่าให้รวบรัดมากเกินไปอีกด้วย เมื่อ ณ จุด ๆ นึงเกมถึงจุดพีคสุด ๆ ทีมงานก็ได้ย้ำซ้ำเติมเข้าไป ให้แฟน ๆ รู้สึกฟินกับสิ่งที่ได้เห็นตลอดทั้งเกม

Marvel’s Spider-Man 2 นั้นยังมีเรื่องราวให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์ให้เห็นในเกมอยู่บ่อย ๆ ครับ และเป็นการเซอร์ไพรส์ที่ทำมาเพื่อ Fan Service โดยเฉพาะ ตรงจุดนี้ต้องขอชื่นชมทีมงาน ที่ทำการบ้านกันมาเป็นอย่างดี จนแอบคิดว่าทีมงาน Insomniac Game นี่เต็มไปด้วยสาวกสไปเดอร์แมนกันทั้งค่ายแน่ ๆ เลย

แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องบ้างส่วนมันก็ยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นวายร้าย Kraven The Hunt ที่เข้ามามีบทบาทในภาคนี้ กลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าจดจำ หรือมีวีรกรรมอะไรสักเท่าไร แต่มันกลายเป็นตัวละครหลัก “ทีถูกบังคับให้มีอยู่” เพื่อการดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึง ณ จุด ๆ นึงเท่านั้น

กลับกลายเป็นว่าตัวร้ายภาคก่อน ๆ หลายคน (ที่พวกเขากลับมาอีกครั้ง) ดันมามีบทบาทมากกว่าตัว Kraven เสียเองด้วยซ้ำไป และอย่างยิ่งการมาของ Symbiote และ Venom ที่มันทำให้ผมเองก็ลืมไปเลย ว่าเกมนี้มันมี Kraven ด้วยนะเออ

ในส่วนของ Side Quest นั้น แน่นอนว่ายังคงทำออกมาได้ดีเช่นเดิม เรียกได้ว่ามันเหมือนเป็น Side Story ที่สร้างเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาเสริมเติมแต่งให้โลกของ Marvel’s Spider-Man ตามฉบับของ Insomniac Game นั้นสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม จนเราสามารถพูดได้เลยว่า นี่มันก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งใน Multiverse นึงของจักรวาล Marvel จริง ๆ ก็เป็นได้นะ


Gameplay


Marvel’s Spider-Man 2 นั้นยังคงรูปแบบเกมเอาไว้เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเกมยังคงเป็นแนว Action-adventure พร้อมกับระบบโหนใย ไต่ตึกแบบภาคแรกทุกประการ สิ่งที่ถูกเสริมเข้ามาในภาคนี้ก็คือสกิลท่าทางใหม่ ๆ ใยแมงมุมรูปแบบพิเศษต่าง ๆ และที่สำคัญคือเราสามารถสลับเล่นไปมาระหว่างปีเตอร์กับไมลส์ได้ตามแต่ละภารกิจที่เราได้ไปทำ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองตัวละครนี้นั้น มีสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไป ความรู้สึกขณะเล่นก็ไม่เหมือนกันอีกด้วยครับ

แน่นอนว่าเกมนี้ยังคงรูปแบบ Open World เอาไว้ ตลอดทั้งเกมเราอาจจะได้รับคำขอความช่วยเหลือจากชาวเมืองคนอื่น ๆ และถึงเวลานั้นจิตวิญญานของเพื่อนบ้านที่แสนดีก็จะเข้ามาสวมร่างเราทันที การทำ Side Quest หรือการไปช่วยเหลือชาวเมืองคนอื่น ๆ นั้นก็จะทำให้เราได้รับค่าประสบการณ์ และชิ้นส่วนเทคโนโลยี หรือก็คือของที่เอาไว้คราฟต์ชุดและอุปกรณ์ต่าง ๆ นั่นเองครับ

มาพูดถึงเรื่องระบบ Skill กันก่อนดีกว่า ในเกมนี้เนื่องจากว่าเราสามารถสลับตัวละครไปมาระหว่างสองตัวได้ แต่ระดับ Level ของทั้งสองตัวละครนั้นก็จะไม่แยกกันครับ หมายความว่าพวกเขาจะแชร์ Level และแชร์ Skill กันทั้งหมดเลย โดย Skil Tree นั้นจะถูกแบ่งเป็น 3 สาย เป็นสายของปีเตอร์ ของไมลส์ และของส่วนรวมที่จะแชร์กัน ในส่วนนี้ผมก็รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย เพราะถ้าหากเราเล่นอัปสกิลในสายของปีเตอร์ไปจนเต็ม แล้วในบางภารกิจมันจะบังคับให้เราใช้ไมลส์เล่นแบบนี้เท่ากับว่าตัวไมลส์ก็จะไม่มีสกิลอะไรเลยน่ะสิ ก็ใช่แล้วครับ มันเป็นแบบนั้น

แต่อย่างไรก็ตามในส่วนอื่น ๆ เช่นความสามารถติดตัว หรือแกดเจ็ตต่าง ๆ มันก็จะถูกแชร์กันหมด ซึ่งพวกนี้จะสามารถอัปเกรดได้จากการทำ Side Quest หรือเข้าไปช่วยเหลือชาวเมืองต่าง ๆ เพื่อชิ้นส่วนสำหรับการคราฟต์ รวมไปถึงพวก “ชุด” เองก็ต้องใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้คราฟต์เช่นกันครับ

ในเกมนี้มีชุดให้เลือกเยอะมาก ๆ และชุดของทั้งสองตัวละครก็จะแยกกันไปอีกด้วย โดยชุดส่วนใหญ่จะถูกล็อกเอาไว้ด้วยระดับ Level และบางชุดก็จะได้มาจากการทำ Side Quest เท่านั้นยังไม่พอ ในชุดเหล่านั้นก็มีสีให้เลือกใช้ต่างกันไปอีก คือต้องจริง ๆ เลยครับว่ามันเยอะมาก ๆ เยอะจนเลือกไม่ถูก น่าจะถูกใจสาวกหลาย ๆ คนเลยล่ะ

แต่ถึงแบบนั้น ความหลากหลายของชุด มันก็ไม่ได้เพิ่มความหลากหลายของตัวเกมสักเท่าไร เพราะเอาเข้าจริง ๆ ชุดมันก็เป็นเหมือนแค่ Skin ตัวละครเท่านั้น ระบบการเล่นทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ใครที่หวังว่าถ้าใส่ชุด Iron Spider แล้วจะตายยากขึ้น ก็ต้องบอกตรงนี้เลยว่ามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิดนะเออ

ในส่วนของการโหนใยนั้น ต้องบอกเลยว่าผมไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในภาคแรกสักเท่าไร จะเรียกว่ามันหยิบเอาระบบของภาคแรกมาใช้เลยก็ไม่ผิด ถึงแบบนั้น ทุกอย่างมันก็ดีของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มมากนัก แค่นี้ก็น่าจะถูกใจแฟน ๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในภาคนี้ตัวเกมได้นำเสนอระบบ gliding ที่ทำให้การเดินทางนั้นรวดเร็วและสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องคอยโหนใยไปมาตลอดทั้งเกมแล้วล่ะ


Performance


Marvel’s Spider-Man 2 นั้นได้ขยายแผนที่ตัวเกมเพิ่มขึ้นจากภาคแรก โดยในภาคนี้ได้เพิ่มส่วนของย่าน Queen และ Brooklyn เข้าไปในเกม ทำให้เรามีพื้นที่ในการสำรวจมากยิ่งขึ้น (โหนใยข้ามแม่น้ำใต้สะพานได้แล้ว) ตัวเกมได้ทำการปรับปรับระบบ Drawing Distance ใหม่ทั้งหมด ด้วยขุมพลังของ PS5 ทำให้พื้นที่ต่าง ๆ ภายในเกมดูสวยและคมชัดขึ้นจากภาคแรกใน PS4 เป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกกันตามตรงว่า มันก็ไม่สวยขึ้นจนเห็นได้ชัดถึงขนาดนั้น ด้วยรูปแบบกราฟิกที่ยังคงเดิม การออกแบบตัวละคร รวมไปถึงรายละเอียดต่าง ๆ มันยังคงเหมือนกับภาคแรกทุกอย่าง แต่สิ่งที่ถูกปรับปรุงมา ก็คือเรื่องแสงเงา และ NPC ที่หนาแน่น ทำให้เราได้รู้สึกถึง New York ได้อย่างสมจริงมากยิ่งขึ้น

ตัวเกมนั้นมาพร้อมกับโหมด Quality และ Performance ให้เลือก
โดยในโหมด Quality นั้นตัวเกมจะรันที่ความละเอียด 2160p ต่ำสุดที่ 1440p 30FPS แต่สามารถดันได้สุดที่ 40FPS ถ้าเปิด 120Hz
ส่วนในโหมด Performance นั้นตัวเกมจะรันที่ความละเอียด 1440p ต่ำสุดที่ 1008p (1008p ไม่ใช่ 1080p) 60FPS และเมื่อเปิด VRR จะดันได้สุดที่ 80FPS

โดยทั้งสองโหมดนั้นจะมาพร้อมกับ Ray Tracing ทั้งคู่ ส่วน LOD และ Draw Distance นั้นจะถูกปรับให้ต่ำลงในโหมด Performance ครับ โดยรีวิวในครั้งนี้ ภาพที่เห็นคือเราเล่นผ่านโหมด Performance ทั้งหมด

โดยรวมแล้วกราฟิกถือว่าทำออกได้ตามมาตรฐานของ PlayStation 5 ที่อาจจะไม่ได้รู้สึกว้าวอะไร และมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากเช่นกัน ใครที่มีทีวี 4K ผมก็แนะนำให้เล่นผ่านโหมด Quality ส่วนใครที่เล่นผ่านหน้าจอ Monitor 2K แบบผม ก็ลุยโหมด Performance กันได้เลย


สรุป


Marvel’s Spider-Man 2 นั้นได้นำเอาสูตรสำเร็จของภาคแรกมาต่อยอดให้กลายเป็นสุดยอดเกมที่ทำมาสำหรับแฟน ๆ สไปเดอร์แมนอย่างแท้จริง ตัวเกมนั้นอัดแน่นไปด้วย Fan Service ที่ถ้าหากคุณเป็นแฟนสไปดี้แล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่าของแบบนี้คุณพลาดไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนสำหรับใครที่กำลังมองหาเกมแอ็กชันผจญภัยดี ๆ สักเกมมาเล่น เกมนี้ก็สามารถตอบโจทย์ให้คุณได้ และคุณไม่จำเป็นต้องเล่นภาคแรกมาก่อน เพราะตัวเกมมันมีสรุปเนื้อเรื่องภาคแรกมาให้แล้ว แค่นี้คุณก็จะได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่ Insomniac Game ได้มอบให้กับเกมเมอร์ทุกคนครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส