[Review] Rise of the Ronin ซามูไรพเนจร แห่งยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
Our score
8.0

Rise of the Ronin

จุดเด่น

  1. เนื้อเรื่องสนุกใช้ได้ น่าติดตาม คาดเดาตอนจบไม่ได้เลย (แต่ถ้าคนที่รู้ประวัติศาสตร์อยู่แล้วก็จะพอเดาทางได้)
  2. ระบบตัวเลือกบทสนทนา และ Side Mission ในเกมที่น่าสนใจ และมีผลต่อเนื้อเรื่องด้วย
  3. Gameplay สุดเดือด มันส์ และท้าทายดีสำหรับคนที่ปรับโหมดยาก ได้ตายซ้ำซ้อนกันแน่นอน
  4. บอสที่เยอะมาก แถมยังเล่นกับเพื่อนในโหมด Coop ได้ด้วย

จุดสังเกต

  1. ระบบบังคับที่ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะชิน ปุ่มที่ต้องใช้เยอะมาก
  2. ถึงแม้จะมีโลกเปิดกว้างที่น่าสนใจ แต่พอผ่านไปนาน ๆ ทุกอย่างมันเริ่มจะวนลูปเดิม ๆ กลายเป็นไม่น่าสนใจไปแทน
  3. ระบบ Stealth ที่แปลกประหลาด และดูไม่ค่อยแฟร์กับเกมสักเท่าไร
  • GAMEPLAY

    10.0

  • GRAPHICS

    7.0

  • STORY

    8.0

  • PERFORMANCE

    7.0

  • VALUE

    8.0

Rise of the Ronin เป็นอีกหนึ่งเกมที่ถูกจัดอยู่ในหมวด “make it or break it” ที่เรามักจะได้เห็นกันบ่อย ๆ ในวงการเกมตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมีคนอย่างจะลองเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ โดยใช้องค์ประกอบและแรงบันดาลใจจากเกมที่เหล่าทีมพัฒนานั้น ๆ ชอบและเติบโตมากับมัน

เพียงแต่ Rise of Ronin นั้นเป็นเกมที่ดันอยู่ภายใต้การดูแลของ Sony Interactive Entertainment เป็นเกม Exclusive PS5 ที่ใช้เวลาพัฒนามายาวนานมากกว่า 9 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2015 ผลงานจากทีม Team Ninja ผู้เคยฝากผลงานไว้กับเกมอย่าง Nioh, Wo Long: Fallen Dynasty, Dead or Alive, Stranger of Paradise: Final Fantasy Origin ที่เรามั่นใจได้เลยว่าระบบ Gameplay มันจะต้องออกมาสนุกแน่ ๆ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า Team Ninja มีปัญหากับกราฟิกในเกมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยเรื่อง Engine ที่เก่าเกินไป หรืออะไรก็ตามแต่ หลังจากเล่นมากกว่า 30 ชั่วโมง ผมก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า Rise of the Ronin มันก็เป็นเกมที่สนุกใช้ได้เลยนะ และมันจะเป็นอย่างไรบ้าง ก็ไปรับชมรีวิวกันได้เลยครับ

Story

Rise of the Ronin จะเล่าเรื่องโดยมีฉากหลังเป็นประเทศญี่ปุ่นในช่วงญี่ปุ่นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 หรือช่วงปีสุดท้ายของยุคเอโดะ ที่ยังคงใช้ระบบปกครองโดยโชกุนอยู่ดั้งเดิม แต่เพิ่มเติมเข้ามาคือชาวต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะนี่คือยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่การค้าขายกับชาวต่างชาติและการพัฒนาประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจะบันทึกช่วงนี้ไว้ว่าเป็นช่วง Bakumatsu เป็นช่วงปีสุดท้ายของสมัยเอโดะ เมื่อรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะจบสิ้นลง ระหว่างปี ค.ศ. 1853 และ ค.ศ. 1867 ญี่ปุ่นได้ยุตินโยบายกีดกันชาวต่างชาติ และห้ามคนญี่ปุ่นออกนอกประเทศ ทื่รู้จักกันในชื่อ นโยบาย Sakoku และเปลี่ยนจากระบบศักดินาของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะมาเป็นรัฐบาลเมจิแห่งจักรวรรดิสมัยใหม่ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ เราที่เป็นตัวเอกจะได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามประวัติศาสตร์ และสามารถ “เปลี่ยน” เหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อแก้ไขประวัติศาสตร์ไปจากเดิมได้ด้วย

เราจะได้รับบทเป็น “คู่แฝดดาบ” สองพี่น้องฝาแฝดที่เสียบ้านเกิดไป ถูกฝึกเลี้ยงดูจนเติบโตโดยหมู่บ้านดาบอำพรางที่ฝึกโรนินให้ไปทำภารกิจต่าง ๆ โดยไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายไหน โดยเราจะต้องสร้างตัวละครมาสองตัว โดยทั้งสองคนนี้จะมีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันตลอดทั้งเกม และมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้เรากับคู่แฝดจะต้องมาปะทะกันเอง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ จะดำเนินควบคู่ไปกับเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์จริงของญี่ปุ่น

เราจะได้เจอและเป็นเพื่อนกับ ซากาโมโตะ เรียวมะ ซามูไรผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากในยุค Bakumatsu หรือ โยชิดะ โชอิน ซามูไรผู้ที่คิดจะล้มล้างระบบโชกุน จนทำให้เกิดสงครามขึ้น และคนอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมบอกเลยว่า “โคตรฟิน” สำหรับคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมา เกมนี้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นให้เราได้เติมเต็ม และอิ่มไปกับสิ่งที่เกมนำเสนอ ที่ผมชอบมากคือการที่ตัวเกมได้สร้าง Timeline แยกออกมาให้เราได้ศึกษาเรื่องราวในช่วงต่าง ๆ และการตัดสินใจของเราตลอดทั้งเกม ซึ่งมันจะมีผลทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปบ้าง ทำให้เราได้เห็น Alternative Timeline ของญี่ปุ่นในช่วงนั้น แถมยังได้เห็นแนวคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้ด้วย

เราสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใดก็ได้ในเกม โดยมันจะมีทั้งฝั่งต่อต้านรัฐบาลโชกุน และฝั่งสนับสนุนรัฐบาลโชกุน ซึ่งตรงนี้ผมก็ขอไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะมันอาจจะเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องทั้งหมดไปครับ แต่บอกได้แค่ว่าเกมจะใช้เวลาเล่นแค่เนื้อเรื่องหลักอยู่ราว ๆ 20 ชั่วโมง แต่ถ้าหากทำเควสเสริม เก็บเนื้อเรื่องรองให้ครบ ๆ ก็น่าจะจบแถว ๆ 30 ชั่วโมงครับ

แต่ช้าก่อน!! ทั้งหมดที่ผมพูดมา มันอาจจะฟังดูดีใช่ไหมล่ะครับ แต่เอาเข้าจริงผมกลับรู้สึกว่าทีมงานไม่ได้ใส่ใจในส่วนนี้มากพอ เหมือนกับเชฟที่มีวัตถุดิบดี ๆ ที่เตรียมมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่กลับเอามาใช้ปรุงได้อย่างจืดชืดไร้รสชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจไป หลาย ๆ ฉากในเกม หลาย ๆ องค์ประกอบในทีมงานเอามาใช้ได้ไม่ดีสักเท่าไร แต่ไม่ได้หมายความว่ามันแย่มาก ๆ และรับประทานไม่อร่อยนะ เพียงแค่ว่ามันดูธรรมดาเกินไปทั้ง ๆ ที่ควรจะดีกว่านี้ได้แท้ ๆ

แต่ถึงแบบนั้นเอง ต้องบอกว่าหลาย ๆ ฉากในเกม หลาย ๆ ตัวละคร และการเล่าเรื่องที่มันทำมาได้ดีกว่ามาตรฐานของ Team Ninja อย่างคาดไม่ถึงเลย รู้สึกเหมือนได้ดูหนังญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่ง และที่สำคัญเลยคือตัวเกมมันมีซับภาษาไทยรองรับแบบ 100% ช่วยให้เราอินและเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ ของเกมไปได้มากกว่าเดิมอีกด้วยล่ะ โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คิดไว้ และเป็นอีกหนึ่งเกมที่แนะนำให้คนที่รักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นลองไปหาเล่นกัน

Gameplay

นี่น่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดในเกมนี้เลย Rise of the Ronin เป็นเกม Action RPG ที่ไม่ได้เน้นระบบ RPG อย่างหนักมากนักแบบใน Nioh และลด RPG Elements ลงมาให้อยู่ระดับกึ่งกลางระหว่าง Sekiro และ Elden Ring ที่ถ้าหากใครนึกภาพไม่ออก ก็ลองให้นึกถึงเกม Action Souls-Likes แบบ Sekiro ที่ใส่ระบบ RPG พื้นฐานสุด ๆ ไม่ซับซ้อนอะไรมากมายเข้ามา นอกจาก Basic Stats การจัดการอุปกรณ์ รูปแบบอาวุธและ Stance ต่าง ๆ พร้อมกับ Gameplay ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Elden Ring โดยเป็นเกม Open World แบบ 100% ไร้รอยต่อ ไร้ฉากโหลด นอกจากจะมีการเปลี่ยนแผนที่ขนาดใหญ่แบบภูมิภาคเท่านั้น

และนั้นส่งผลให้ Gameplay ของ Rise of the Ronin มันออกมากลมกล่อม แบ่งสัดส่วนออกมาได้เป็นอย่างดีสำหรับเกม Action RPG ในโลกเปิดกว้างแบบ Open World ที่เรามีอิสระจะไปไหนและทำอะไรก่อนก็ได้ แถมตัวเกมยังแบ่งสัดส่วนเนื้อเรื่องระหว่าง Main Story และ Side Story ได้เป็นอย่างดี ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ และไม่รู้สึกว่าเกมมันเรื่อยเปื่อยมากเกินไป แต่กลับทำให้ผู้เล่นรู้สึกอยากจะออกสำรวจโลกมากขึ้นกว่าเดิมแทน

ระบบต่อสู้ของ Rise of the Ronin พื้นฐานมันก็คือเกม Nioh ที่ได้เอาระบบ Parry ของ Sekiro มาใช้ โดยและมีระดับความยากที่ไม่สูงมากจนหัวร้อนจอยพังกันไป แถมเกมนี้ยังมีระดับความยากมาให้เลือกด้วย จะยากจะง่ายก็ไปปรับกันได้ Rise of the Ronin ได้พยายามหนักมากที่จะแยกตัวเองออกมาจากเกมแนว Souls-Likes โดยเน้นไปที่ระบบต่อสู้ซับซ้อนมากกว่าเดิม ตัวเกมมีอาวุธให้เลือกใช้หลายชนิดมาก ๆ และแต่ชนิดก็จะมีรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไปอีก โดยแต่ชนิดก็จะมี Weapon Skill ที่ไม่เหมือนกัน และจะได้เปรียบเสียเปรียบต่อศัตรูแต่ละชนิด รวมไปถึงรูปแบบการ Parry ที่จะไม่เหมือนกัน ผสมผสานไปกับการใช้อาวุธระยะไกล และอุปกรณ์นินจา ระเบิด หรือพลังปราณต่าง ๆ อีกมากมาย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำได้ดีมาตลอดในผลงานก่อนหน้านี้อย่าง Nioh มา แต่สิ่งที่ Rise of the Ronin ได้ขัดเกลา ก็คือตัวเกมเน้นการปะทะกันระหว่างอาวุธมากยิ่งขึ้น หรือก็คือ Sword Fight ของเกมนี้มันจะดุเดือดและรู้สึกถึงความมันส์ สะใจมากเมื่อดาบได้ปะทะกัน เพราะเกมนี้ศัตรูของเราก็จะเป็นเหล่าโจร ซามูไร โรนินด้วยกันเอง ที่ใช้อาวุธเหมือน ๆ กัน ไม่เหมือนใน Nioh ที่จะเป็นพวกปีศาจ วิญญาณ อะไรแถว ๆ นี้ครับ

Rise of the Ronin นั้นได้สอบผ่านความเป็นเกม Open World แบบพอดี ๆ แต่ก็เกือบจะไปไม่รอดเหมือนกัน ต้องขอบคุณ Elden Ring ที่ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าเกมนี้ได้เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาไปหลังจากได้เห็น Elden Ring ออกสู่ตลาดแบบทันทีเลย ถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ Rise of the Ronin เป็นเกม Open World ที่มีความเป็น GTA อยู่มากเลยครับ ใช่แล้ว GTA หรือ Grand Theft Auto นี่แหละ เมื่อผ่านช่วง prologue ของเกมมาแล้ว ตัวเกมก็จะพาเราเข้าสู่โลกเปิดทันที โดยเราจะไปทำอะไรก็ได้ รับเควสหรือช่วยเหลือชาวบ้านตามข้างทาง หรือคุยกับ NPC ไปเรื่อย ๆ แบบ Elden Ring หรือ Ghost of Tsushima ไม่มีข้อจำกัดอะไรมาก และถ้าหากต้องการจะเล่นเนื้อเรื่องหลักเมื่อไร ก็แค่เดินไปเข้าจุดที่กำหนดเอาไว้ และในบางเควสก็จะตัดเข้าสู่ Mission Mode ที่เราสามารถเอา NPC เพื่อนของเรามาช่วยทำภารกิจได้ด้วย หรือจะชวนเพื่อนเรามา Coop กันในโหมด Online ก็ได้

คือทั้งหมดนี้พูดเลยว่า Rise of the Ronin เป็นเกมที่จับฉ่ายมาก เพราะมันได้พยายามหยิบเอาข้อดีของเกม Open World หลาย ๆ เกมมายำ ๆ รวมกันโดยยังเหลือลายเซ็นของ Team Ninja เอาไว้ ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้คิดติดใจอะไรมาก ก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเกมที่สนุกดี และเล่นได้เพลิน ๆ แต่ถ้าใครคิดมาก ก็จะมองว่ามันเป็นเกมที่พยายาม Copy หรือลอกเลียนแบบมาก ๆ แต่ผมต้องบอกตามตรงเลยว่า โลก Open World ของ Rise of the Ronin เนี่ย มันทำออกมาได้ดีพอใช้ได้เลยนะ NPC ตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ ที่ดูมีชีวิตชีวา เราจะได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นแบบที่เราน่าจะไม่เคยเห็นเกมไหนทำมาก่อนเลย ออกเที่ยวย่านโคมแดง และเห็นการทำงานของเหล่าเกอิชา หรือเราจะทำตัวเป็นโจรไปปล้นชาวบ้านเพื่อไปเล่นพนันเพื่อเอาเงินไปชื้อของดี ๆ มาใช้ ทุกอย่างมันอิสระมาก ๆ เหมือนกับเราได้ไปใช้ชีวิตในยุคนั้นเลยล่ะ

แต่ถึงแบบนั้น มันก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง คือด้วยการที่เกมมันหยิบเอาข้อดีของหลาย ๆ เกมมาใส่ไว้ด้วยกัน ถึงแม้จะมีจุดเด่นเรื่อง Gameplay ที่ต้องยอมรับเลยว่ามันสนุกมาก ๆ และได้รับการปรับปรุงต่อยอดมาเป็นอย่างดีจาก Niohแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Rise of the Ronin มันมีความโดดเด่นอะไรเลย ตลอดทั้งเกมเราจะรู้สึกได้เลยว่า “เอ๊ะระบบนี้มันมาจากเกมนี้นิ” อะไรแนว ๆ นี้ ทั้งเกม จนทำให้เราแอบคิดไปว่า นี่มันก็ไม่ต่างอะไรจากเกมเดิม ๆ ที่ตัวเองเล่นมาเลย และสิ่งเดียวที่ขับเคลื่อนให้เราเล่นต่อไป ก็คือเนื้อเรื่องในเกมเท่านั้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเกม Action RPG สักเท่าไร เพราะเราควรจะสนุกไปกับการออกตามล่าสมบัติ ตามหาอาวุธสุดพิเศษ สร้าง Build การเล่นใหม่ ๆ ปั้นตัวละครให้เก่งกาจมากขึ้น แต่ Rise of the Ronin ไม่ได้ส่งมอบความรู้สึกแบบนั้นให้เราเลย และสิ่งที่เกมนี้มอบให้ คือต้มจับฉ่ายที่มีทุกอย่างพร้อม แต่รสชาติก็ธรรมดา ๆ ไม่ได้พิเศษอะไร แต่ก็ไม่ได้แย่จนถึงกินไม่ได้ และค่อย ๆ เติมเต็มความอิ่มให้เราได้ยันจบเกมครับ

Graphics Performance

นี่น่าจะเป็นส่วนที่แย่ที่สุดในเกมนี้เลย Rise of the Ronin เป็นเกม Exclusive PlayStation 5 ที่มีกราฟิกตกยุคมาก ๆ ถ้าหากเราไปเทียบกับเกมอื่น ๆ แนว ๆ เดียวกัน ถึงแม้ว่างานอาร์ตของเกมนี้จะออกโทนสีมืดมนแบบ Warm Colors ที่สิ่งที่เราได้รับมาคือเกมที่มี Engine เก่า และงัดความสามารถมาจนสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว พร้อมกับอนิเมชันตัวละครที่ดูแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ฟิสิกส์ในเกมที่ไม่มีความสมเหตุสมผลอะไรทั้งนั้น ถ้าใครที่เคยเล่น Nioh มาแล้วคาดหวังว่ามันจะดีขึ้น พูดตามตรงว่าผมยังชอบงานภาพของ Nioh 2 ที่มีความแฟนตาซีมากกว่าซะอีก

แต่ถึงแบบนั้นก็ใช่ว่ามันจะแย่ไปซะทีเดียวนะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปในตอนแรกว่า Rise of the Ronin เป็นผลงานที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาได้ไม่ดีสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ตัวเกมมันมีวัตถุดิบชั้นยอดหลายอย่างอยู่มากมายในเกม พวกสถานที่ สถาปัตยกรรม เมือง ต้นไม้ภูเขาป่า ทะเล และอื่น ๆ ในเกมนี้มีพร้อม และผมมองว่ามันน่าสนใจ น่าสำรวจมากกว่าเกมแนว ๆ เดียวกันอย่าง Ghost of Tsushima เป็นล้านเท่า แต่ทีมงานกลับไม่ได้เอาใจใส่มันมากพอ บางสถานที่ก็สร้างมาไว้งั้น ๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลย จนผมก็ยังไม่เข้าใจว่าจะมีสถานที่สวยงามแบบนี้ไว้ทำไม ถ้าหากไม่เอามาใช้ให้ดี

และแน่นอน เราจะมาดูในส่วนของ Performance กันบ้างครับ เกมนี้จะมีโหมดกราฟิกให้เราปรับอยู่สามโหมดด้วยกันได้แก่

  • Performance Mode รันที่ 936p 60FPS
  • Graphics Mode รันที่ Dynamic 1152p ถึง 1512p Variable FPS
  • Ray Tracing Mode รันที่ dynamic 810p ถึง 900p Variable FPS

โดยปัญหามันจะอยู่ที่โหมด Performance ที่ภาพเบลอมาก! ผมเล่นผ่านจอ Monitor 2K คือเบลอจนเห็นได้ชัด แถมหนักสุดคือมันยังรันที่ 60FPS Stable ไม่ไหวด้วย ยังมีเฟรมตกให้เห็นเป็นช่วง ๆ และใน Graphics Mode ที่ภาพดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ FPS มันไม่นิ่งเลยทั้งเกม แล้วอย่างยิ่งกับเกมแนว ๆ นี้ ถ้าหากมีอาการเฟรมตกไม่เสถียรขึ้นมา มันจะส่งผลกับการเล่นมาก สู้ให้ Lock ไว้ที่ 30FPS ยังดีกว่า โหมดสุดท้าย Ray Tracing Mode ที่จะลดความละเอียดลงไปต่ำมาก แต่แลกมากับความสวยงามของแสงและเงา ที่มันก็สวยขึ้นจริง ๆ นะ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มเท่าไร และ FPS ที่ได้ก็รู้สึกว่าไม่แตกต่างกับ Graphics Mode มากนัก

ซึ่งสรุปเลยก็คือไม่มีโหมดไหนสักหมดที่เกมนี้จะรักษา Frame Rate ให้เสถียรได้เลยครับ และนี่ก็เป็นปัญหาของเกม PlayStation 5 หลาย ๆ เกมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะอายุของ PS5 ก็เริ่มเยอะแล้ว แต่ถึงแบบนั้นในกรณี Rise of the Ronin นั้นผมมองว่ามันอาจจะเป็นกรณียกเว้นไป เพราะด้วยกราฟิกที่มันไม่ได้สวยอะไรมากเลย มันไม่ควรจะกินสเปกมากขนาดนี้แท้ ๆ อาจจะเป็นปัญหาที่การ Optimize เกม และปัญหาของ Engine เองมากกว่า

Verdict

ต้องยอมรับว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันไม่มีเคยมีเกมอะไรแบบนี้มาให้เราเล่นกันเลยนะ คิดดูว่าเราจะได้ออกสำรวจญี่ปุ่นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แบบ Open World ทั้งเมือง Yokohama, Edo (หรือก็คือโตเกียวในภายหลัง) และเมือง Kyoto พร้อมกับพื้นที่ชนบทรอบ ๆ เมือง ถ้าหากใครที่เคยคิดว่าอยากจะลองเล่นเกม Assassin’s Creed ฉบับญี่ปุ่นดูบ้าง ผมก็ขอแนะนำเกมนี้เลย เพราะมันจำลองออกมาได้เหมือนกันเป๊ะจริง ๆ

Rise of the Ronin มีศักยภาพมากมายหลายอย่างที่สามารถเอามาชูโรงได้ ถ้าหากผ่านการปรับแต่งออกมาได้ดีพอ แต่น่าเสียดายที่ทีมงานกลับเอามาใช้ได้ไม่ดีพอ และไปโฟกัสผิดจุดมากกว่า แทนที่จะใส่ใจเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่ทีมงานดันจะเก็บทุกอย่างให้ครบ ๆ จนลืมไปว่าจุดเด่นของเกมตัวเองคืออะไรกันแน่

แต่อย่างไรก็ตาม Rise of the Ronin ก็ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่เหมาะสำหรับคนที่รักและชื่นชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเลย ไม่ต้องห่วงถ้าหารเล่นเกมแนว Souls-Like ไม่เก่ง เพราะตัวเกมมีโหมดง่ายมาให้ เอาไปเล่นเสพเนื้อเรื่องกันได้สบาย ๆ ส่วนสำหรับใครที่มองหาเกม Action RPG เล่นเพลิน ๆ สักเกม ผมก็อาจจะแนะนำให้ลองไปดูเกมอื่น ๆ ที่วางขายช่วงเดียวกันอย่าง Dragon’s Dogma 2 แทน แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบอะไรญี่ปุ่น ๆ หรือชอบความเป็นซามูไร นินจา โรนินแล้วล่ะก็ Rise of the Ronin เป็นผลงานที่ห้ามพลาดเลยล่ะ