[รีวิวเกม] ‘Valiant Hearts: Coming Home’ เกมสงครามที่เหมาะกับคนที่ชอบสำรวจ (เกมรองรับภาษาไทย)

หากคุณเคยเล่นเกมซีรีส์ ‘Valiant Hearts’ มาก่อนคงจะรู้ว่ามันคือเกมสงครามที่เน้นการเล่าเรื่อง และสร้างโดยอิงประวัติศาสตร์จริง ที่เกมเพลย์จะไม่ได้เน้นแอ็กชันนักเน้นการสำรวจมากกว่า แต่มันก็ประสบความสำเร็จพอตัวจนมีการสร้างภาคใหม่ออกมา

โดยภาคล่าสุดอย่าง ‘Valiant Hearts: Coming Home’ ก่อนหน้านี้เปิดให้เล่นสำหรับสมาชิก Netflix มาก่อนโดยจะเล่นผ่านระบบ ios และ Android ข่าวดีคือมันมีการออกเวอร์ชันคอนโซลวางขายบน Nintendo Switch, Xboxone และ PS5 รวมทั้งออกบน PC ด้วย ซึ่งมันก็คือเกมเดียวกันไม่ได้มีการอัปเกรดอะไร

เนื้อเรื่องสุดดราม่า

ส่วนเนื้อเรื่องถือว่าเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรก และใน ‘Coming Home’ ก็ยังเป็นไฮไลท์ โดยจะเล่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านตัวละครที่มีทั้ง James ทหารผิวสีจากอเมริกา, Freddie’s พี่ชายของ James ที่เข้าร่วมสงครามเพราะอยากเจอน้องชาย, Ernst นายช่างประจำเรือดำน้ำของเยอรมัน, Anna พยาบาลสาวผู้กล้าหาญ, George นักบินชาวอังกฤษ และปิดท้ายกับ Walt น้องหมาผู้ช่วยสุดน่ารัก

ซึ่งเนื้อเรื่องจะเล่าโดยมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงใน “สงครามโลกครั้งที่ 1” เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่จะแบ่งเป็นตอน ๆ ที่แม้ภาพอาจจะไม่ได้รุนแรงแต่เนื้อหาค่อนข้างหนัก และเต็มไปด้วยดราม่าของความโหดร้ายของสงครามเรียกว่ามีหลายฉากชวนสลดและทำผู้เล่นน้ำตาซึมได้เลย

และมีการกล่าวถึง “Harlem Hellfighters” ซึ่งเป็นกองทหารผิวสีกลุ่มแรกที่เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1โดยมีการเล่าถึงปัญหาการเหยียดผิวในยุคนั้นด้วย และยังมีการเสริมภาพถ่ายจริง ๆ พร้อมข้อมูลทำให้มันเหมือนกับเป็นแบบเรียนประวัติศาสตร์ได้เลย แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีภาพน่ากลัวเพราะทีมงานไม่ได้ใส่มา และข่าวดีมากคือเกมรองรับซับไทยเต็มรูปแบบทำให้ผู้เช่นชาวไทยอินกันเนื้อเรื่องได้แบบเต็มร้อย

กราฟิกแนวการ์ตูน 2 มิติ

ภาพในเกม ‘Valiant Hearts: Coming Home’ มาตามแนวทางภาคแรกที่เป็นภาพแบบ 2 มิติมุมมองด้านข้าง มีงานออกแบบที่ตั้งใจให้ตัวละครเรียบเป็นกระดาษตัดแปะ ซึ่งถือว่ายังทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยมเพราะว่าผู้สร้างต้องการถ่ายทอดความโหดร้ายของสงครามแต่ไม่อยากให้ภาพมันดูน่ากลัว เพราะต้องการให้เด็ก ๆ เข้าถึงได้

และอย่างที่บอกไปว่าผู้สร้างมีการเสริมภาพถ่ายจริงพร้อมข้อมูลในภาพมาด้วย ซึ่งมันน่าอ่านและน่าติดตามเพราะข้อความไม่ยาวนักและเป็นภาษาไทยด้วย ส่วนเพลงประกอบมีการใส่ดนตรีแนวคลาสสิกที่เข้ากับยุคสมัยของตัวเกมที่เกิดมาเกิน 100 ปีแล้ว มีการใส่เพลงธีมที่น่าตื่นเต้นในฉากสงคราม และเพลงที่น่าเศร้าในฉากดราม่า ส่วนเสียงพากย์ที่เกมใส่เข้ามาแนวเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย และในส่วนฉากดราม่าสะเทือนอารมณ์ก็ทำออกมาได้ดี

เกมเพลย์เน้นสำรวจ

รูปแบบการเล่นของ ‘Valiant Hearts: Coming Home’ ยังคงเหมือนเดิมที่ไม่ได้เป็นแอ็กชันเน้นต่อสู้ แม้ว่าเกมจะอยู่ในฉากของสงครามโลกก็ตาม แต่มันจะเน้นการสำรวจเพื่อแก้ไขปริศนาเพื่อเปิดทางไปต่อมากกว่า ผู้เล่นจะไม่ได้จับปืนเพื่อฆ่าใครในเกมเลย ดังนั้นเด็ก ๆ ก็สามารถเล่นได้เพราะไม่มีความรุนแรง ส่วนฉากการสูญเสียก็จะมีการหลบมุมกล้องและมีการนำเสนอแบบการ์ตูน

เราจะได้เล่นเป็นทุกตัวละครสลับกันไปมา และจะต้องออกสำรวจฉากเพื่อหาไอเทมมาเปิดทาง เช่นการหากุญแจมาเปิดประตู แต่ก็ไม่ได้ง่าย ๆ เพราะกว่าจะได้มาก็ต้องพบกับอุปสรรคปัญหาที่ต้องแก้หลายขั้นตอน และยังมาพร้อมกับแอ็กชันเล็ก ๆ เช่นการปาหินไปเพื่อเปิดทางเช่นการปาก้อนหินให้ไปโดนระเบิด แล้วจะเปิดเส้นทางไปต่อได้

รูปแบบการเล่นที่หลากหลาย

ความดีงามคือรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย เพราะไม่ได้มีแค่ฉากในสนามรบภาคพื้นดินเท่านั้น ยังมาพร้อมกับฉากที่เราจะได้บังคับเครื่องบินเพื่อหลบหนีออกจากดินแดนศัตรูด้วย และถือว่าทำออกมาได้ดีมีความท้าทายพอตัว และยังมาพร้อมกับฉากที่เราต้องรับบทเป็นสายลับที่ลอบเร้นไม่ให้ศัตรูพบเห็น แล้วไปล้วงความลับจากแดนศัตรู

นอกจากนี้ยังมีมินิเกมสั้น ๆ เสริมเข้ามาเช่นการรักษาแผลของฉากตัวละครพยาบาล Anna ที่เราต้องเล่นฉากที่ต้องทำแผลให้ทหารในสนามรบที่ต้องแข่งกับเวลา หรือมินิเกมเล่นดนตรีที่ต้องกดปุ่มตามจังหวะ อย่างไรก้ตามเกมอาจจะไม่ได้มีความท้าทาย เพราะหากพลาดตายหรือทำภารกิจไม่สำเร็จก็จะกลับมาเริ่มใหม่ได้ตลอด เหมือนเป็นแนวทางของเกมที่เน้นการเล่าเรื่องมากกว่า

การกลับมาสู่มหาสงครามใน ‘Valiant Hearts: Coming Home’ ยังคงมาแนวทางเกมที่เน้นสำรวจมากกว่าแอ็กชัน และไม่มีความท้าทายเน้นการเล่าเรื่องความโหดร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เต็มไปด้วยดราม่าและความสูญเสีย และยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากข้อมูลและภาพจริงด้วย เสียดายที่เกมสั้นไปหน่อยแต่ก็กลับไปเล่นอีกหลายรอบเพื่อเก็บไอเทมลับที่ซ่อนอยู่