Our score
8.7

รีวิว Stellar Blade ดุดัน เดือดไม่ไหว Souls-Like ที่ตามหา สุดเท่ โคตรเลือดพล่าน!

นอกเหนือจากดีไซน์ตัวละครที่ดูดึงดูดแล้ว จุดที่คุณจะได้โฟกัสกลับไปไม่ใช่เรื่องพวกนี้เลย เมื่อคุณได้เริ่มเกม

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นี่คือเกมฟอร์มยักษ์เกมแรกของพวกเขา Shift Up จากผู้สร้างเกมมือถือที่โดดเด่นในด้าน Live 2D อย่าง Destiny Child และ NIKKE แหวกมาเป็นเกมแนวเนื้อเรื่องที่ประสานกลิ่นอายความเป็น Soul-Like ให้มันเท่ ให้มันเดือด ให้มัน Action ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กับความ Stlyish ที่ทำให้คนเล่นรู้สึกเท่ไม่หยุดในทุกคอมโบ บวกกับเพลงประกอบอันสุดยอด ปิดท้ายด้วยเนื้อเรื่องที่แฝงไปด้วยความหมายที่เมื่อคุณเล่นจบแล้วต้องกลับมานั่งตีความหมายของชีวิตใหม่ และนี่คือรีวิวเกม Stellar Blade จากเรา Thailand Game Show

จุดเด่น

  1. ประสบการณ์โดยรวมดี มีระบบ Combat และ Soundtrack ที่แบกเอาไว้ รวมไปถึงปัญหาเรื่อง Performance ที่ไม่มีปัญหาเลย
  2. เกมเพลย์โดยรวมดี โลก​ Semi Open World มีความลึกมากพอ มีกิจกรรมให้ทำหลากหลายสมกับเป็นเกม RPG ยิ่งฟาร์มก่อน ยิ่งเก่งก่อน ยิ่งกิจกรรมเยอะ ยิ่งเถลไถล และแน่นอนว่า Combat ก็แบกเอาไว้เช่นกัน
  3. ระบบ Combat อย่างเดียวคือเด็ดดวง
  4. กราฟิกสมกับเป็นเกม Next Gen เรื่อง Assets แสง เงา ทำได้ดีสมกับเป็นเกมยุคใหม่ ติดแค่เรื่อง Facial Motion และท่าทางเวลาพูด แอบดูตกยุคเหมือนเกม RPG ยุคเก่า

จุดสังเกต

  1. เนื้อเรื่องที่ต้องการจะสื่อดี ความหมายแฝง การทำให้กระตุ้นไปคิดต่อ มีการพลิกแพลง และเนื้อหาที่ไม่เป็นเส้นตรงจนเกินไป แต่วิธีเล่าแย่
  • เนื้่อเรื่อง

    7.0

  • เกมเพลย์

    9.0

  • กราฟิก และประสิทธิภาพ

    10.0

Shift Up ผู้พัฒนาเกมสัญชาติเกาหลี จากค่ายเกมที่เด่นเรื่องการพัฒนาเกมมือถือที่มีจุดขายเป็น Live 2D ที่สวยงามอย่าง Destiny Child และ NIKKE: Goddess of Victory สู่การทำเกม AAA ฟอร์มยักษ์สไตล์ Action RPG เกมแรกของพวกเขา จากจุดเริ่มต้นของ Project EVE ที่ประกาศเปิดตัวไปเมื่อปี 2019 มาสู่วันนี้ ปี 2024 กับเกม Action RPG ที่น่าจับตามอง พร้อมผจญภัยไปด้วยกันในรีวิวแบบบทความ ‘Stellar Blade’

เนื้อเรื่อง

Stellar Blade มีจุดเริ่มต้นจาก Project EVE ที่เป็นแนวทางใหม่ของค่าย Shift Up เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาที่เคยทำแต่เกมมือถือนั้น ก็สามารถทำเกมเนื้อเรื่องแบบ AAA เล่นจบได้ในตัว โดยที่ไม่ต้องทำเกมแบบ Live Service อย่างที่เหล่ามุมมองของ Developers ในเกาหลีมองว่าตลาดเกมมือถือนั้นสามารถทำเงินได้ดีกว่า โดยตัวเกมมีแรงบัลดาลใจมาเต็ม ๆ จากเกมสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง NieR Automata ซึ่งทีมงานเนี่ย ก็เป็นแฟนเกมของ NieR Automata กันนั่นเองครับ

เนื้อเรื่องของ Stellar Blade จะเกี่ยวกับการผจญภัยของ ‘อีฟ’ ทหารสาวจากหน่วยพลร่มที่ 7 ที่ถูกส่งลงมาทำภารกิจบนโลกเพื่อช่วยมนุษยชาติจากสัตว์ประหลาดปริศนา ‘เนติบา’ ซึ่งสถานการณ์ ณ ตอนเริ่มเล่นเกมคือ โลกถูกรุกรานโดยเนติบาหมดแล้ว ทำให้เหล่ามนุษย์ที่เหลือรอดนั้นหนีขึ้นไปสร้างอนานิคมหรือโคโลนีอยู่กันนอกโลกหมด โดยเนื้อเรื่องจะดำเนินทันทีหลังจากที่พ็อดโดยสารของอีฟตกลงมายังโลกเพื่อทำภารกิจ และเธอได้รับความช่วยเหลือจากทาคี อดัม และลิลี ตัวละครสมทบที่เราจะได้พบเจอระหว่างทาง โดยหลังจากนี้เนื้อหาของเรื่องเราคงจะไม่เล่าต่อจากที่โชว์ให้เห็นจากในเดโมเท่าไหร่ เพราะถ้าเผยมากกว่านี้ก็คือสปอยแล้ว เดี๋ยวจะเสียอรรถรสกันซะก่อน ถ้าอยากเล่นเกมนี้แบบเต็มข้อ ก็ขอให้ไปเสพกันในเกมเต็มกันนะครับ

ระหว่างการเล่น ถ้าคุณเป็นแฟนเกม NieR จะพบเจอ hard reference จาก NieR Automata เยอะมาก ถ้าตอนจบขึ้นว่า Thank You For Playing NieR 3 ก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด (แหม่) ขนาดถึงที่ว่าบางซีนคือการ Reference แบบแทบจะ 1:1 ถ้าเปิดเทียบกันคือเหมือนกันเป๊ะ แค่เปลี่ยนบุคคลที่อยู่ในฉาก ก็เข้าใจว่าเป็นรูปแบบการเคารพเกมของค่ายเขา ที่ทั้งเกม inspired มาเต็ม ๆ เพราะทางผู้กำกับคุณ Hyung-Tae Kim บอกเองว่า ถ้าไม่มี NieR Automata ก็ไม่มี Stellar Blade (แหม่ คล้องจองกันพอดี)

และแน่นอนว่าใครเป็นแฟนเกมมือถือทั้งสองเกมอย่าง Destiny Child และ NIKKE ก็แอบมีใส่มาบ้างอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่เยอะเท่า NieR

เกมเพลย์

แก่นหลักของเกม Stellar Blade ถ้าอธิบายโดยไม่ยกตัวอย่างเลยอาจจะเล่าได้ยาก แต่ถ้าบอกว่านี่คือเกม Souls Like ที่ยัดระบบ Combat แบบ DMC เข้ามา หลายคนน่าจะอ๋อกันทันที ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็น combination ที่ค่อนข้างแปลกตาดี แต่อย่างที่บอก นี่คือเกม Souls ที่มีความ Stylish สูงมาก เป็นเกมทื่ยากกลิ่นอายแบบ Souls แต่เราก็มีท่าทางการต่อสู้ที่ เท่ ต้องยอมรับว่าการกำกับท่าทางต่าง ๆ ของผู้กำกับเกมทำออกมาได้ดีมาก มันทำให้เรารู้สึก เท่ เร้าใจ สะใจ ให้สมกับความยากที่เรากว่าจะต่อกรกับบอสได้ รวมไปถึงฉากการพิชิตบอสแต่ละตัวที่ทำได้ถึงเลือดถึงใจ และเท่มาก ความ Stylish ของเกมนี้ถ้ามี 10 คะแนน คือให้ไปเลย 100 คะแนน

ตัวเกมดำเนินเรื่องแบบ Semi Open World ซึ่งจะมีแมปโลกเปิดประมาณ 2 แมปใหญ่ และแมปแบบเส้นตรงอีกประมาณ 4 แมป ซึ่งช่วงระหว่างต้นเกมจนถึงเกือบปลายเกมจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ รับทำเควสต์อะไรมาทำก็ได้ ซึ่งพื้นที่ต่าง ๆ ที่เราเข้าถึงได้ ก็จะ progress ไปสอดคล้องกับเนื้อเรื่องนั่นเอง และแน่นอนว่าการเป็นเกม Souls แปลว่าเราต้องปลดล็อก Bonfire ซึ่งในเกมนี้จะเรียกว่า Camp เฉย ๆ ซึ่งก็จะถูกจำกัดโดย Camp ใหญ่ และเล็กอีกที ซึ่งจะมีเพียง Camp ใหญ่เท่านั้นที่เราจะ Fast Travel ได้

ระหว่างการผจญภัย เราก็จะมีที่ทางให้แวะมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Mini Game, Side Quest รวมไปถึงพวก Jumping Puzzle ให้เราได้หัวร้อนเป็นระยะ ๆ โดยรวมโลกเปิดไม่ได้เป็นโลกที่กว้างใหญ่อะไรมากนัก เดินแปบเดียวก็ครบทุกพื้นที่แล้ว แต่ยิ่งเราสำรวจเราจะยิ่งพบกับกิจกรรมพวกนี้ซ่อนอยู่เต็มไปหมด แต่กว่าจะเคลียร์แต่ละที่ก็เรียกได้ว่าใช้เวลาพอสมควรเลย ซึ่งมันก็เลยทำให้พื้นที่ต่าง ๆ ของเกมนี้น่าค้นหา น่าแวะเวียนไปหมด เพราะยิ่งคุณเสาะหาไปในพื้นที่ต่าง ๆ ก็จะพบเจอกับกิจกรรมเหล่านี้ ที่ให้ของรางวัลแตกต่างกันไป บางอย่างทำให้เราเก่งขึ้นก่อนเวลาอันควร บางอย่างก็เป็น Cosmetic

อ้อ พูดถึง Cosmetic ก็เป็นอีกจุดที่เป็นจุดเด่นของค่ายนี้ครับ แน่นอนว่าพอเป็นค่าย Shift Up แล้ว เรื่องแต่งตัวต้องไม่เป็นสองรองใคร มีทั้งต่างหู แว่นตา และชุดต่าง ๆ รวมไปถึง ทรงผมที่เราตัดแต่งได้ ที่เราจะได้จากการทำภารกิจหลัก เสริม, ย่อย และ Mini Game เต็มไปหมด รวม ๆ แล้วมีชุดหลักประมาณ 30 กว่าชุด แบบที่ไม่นับชุดจาก Deluxe Edition แถมยังมีชุด พิ เ ศ ษ ที่คุณต้องนั่งเก็บ Collectible ที่มีฉากการเก็บสุดมีมแบบนี้!

ซึ่งเจ้ากระป๋องพวกนี้จะซ่อนอยู่ในแมป และภารกิจทั่วทั้งเกม แต่ละอันมีความแรร์ในการหาด้วย ตั้งแต่ 1-3 ดาว ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่ผมว่าสนุกดี เพราะถ้าคุณยิ่งเสาะหากระป๋องนี้ คุณจะไปเจอกับ Mini Game และ Jumping Puzzle เยอะแยะมากมาย รวมไปถึงบอสลับด้วย ซึ่งแต่ละอันท้าทาย และกว่าคุณจะสำรวจจนเจอหมด คุณก็อาจจะพึ่งรู้สึกตัวว่า ใช้เวลากับการตามหากระป๋องนี้หมดไปเป็นสิบชั่วโมงแล้ว

ลืมบอกไป เจ้า Cosmetic พวกนี้ไม่มีผลต่อ Stats หรืออะไรเลยนะ แค่ใส่สวยงามเฉย ๆ ใครสายแฟชัน ก็น่าจะถูกใจเป็นอย่างยิ่ง

ในส่วนของ Stats ก็จะมีอุปกรณ์อย่างพวก Exo Spine และเกียร์ต่าง ๆ ที่เราได้จากการทำภารกิจหลัก และเสริมเหมือนกัน บางอันจะดรอปจากบอสสุดหินที่ซ่อนอยู่เท่านั้นด้วย ซึ่งแต่ละอันก็เอามาใช้ตามความถนัดตามสไตล์การเล่นที่ถือว่ายืดหยุ่นดี เพราะเกมนี้เรื่อง Playstyle เรา Build ได้หลากหลายสายมากเช่นกัน

ระบบการต่อสู้

มาพูดถึงจุดที่คิดว่านี่คือจุดที่ดีงามที่สุดของเกมคือระบบ Combat พาร์ต Combat คือจุดแข็งของเกมนี้เลยก็ว่าได้ การเติมเต็มอารมณ์เกม Souls ให้คนเล่นรู้สึก feels good ให้คนเล่นรู้สึกเท่ รู้สึกดีที่ทำได้ รวมไปถึง cutscene การระหว่างสู้ และฉากฆ่าบอส หรือมอน ทำได้เจ๋ง เท่ สะใจ และดูดีมาก ดีจนเหมือนนั่งดูหนังที่กำกับซีนเท่ ๆ เต็มไปหมดเลยทีเดียว อย่างที่กล่าวไปให้เรานึกภาพเรานั่งเล่น DMC V ได้เลย ปลดล็อกท่าต่าง ๆ มาประกอบเอาเอง อารมณ์คล้ายกันคือเหมือนเป็น Playground ของกระบวนท่า เราจะต่อคอมโบอะไรยังไงก็ได้ แล้วแต่จะทดลอง ให้เรารีดดาเมจออกมาให้ได้มากที่สุด แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เล่นได้เลย

คอมแบตตัวละครเรามีระบบที่ลึก และเยอะมาก มันเลยทำให้รู้สึกว่าในการต่อสู้หนึ่งครั้ง เราต้องคิดอะไรพอสมควร เช่นเกจ Beta Skills และ เกจ Burst Skills จะได้จากการที่เราทำดาเมจ และ Perfect Block / Perfect Dodge ทำให้เราต้องยิ่งคิดว่าเราจะวางแผนในไฟต์ยังไง ใช้อะไรก่อน ต้องรีบเก็บเกจเพื่อไปใช้ท่า Burst เกราะทิ้งไหม แล้วจะได้ใช้ท่าที่ตีแรง ๆ เข้าเนื้อโดยที่ได้ดาเมจสูงสุดที่จะทำได้ เพราะไม่มีเกราะมาลดดาเมจแล้ว โดยในขณะเดียวกันก็ต้องทำความเข้าใจการโจมตีของศัตรูไปด้วย

ตัวเกมจะเน้นให้เรา Perfect Timing กับทุกอย่าง เช่นการ Block หากคุณไม่ทำ Perfect Block ด้วยความที่ moveset ของ Boss แทบทุกตัว จะรัวท่าใส่คุณตลอด ถ้าคุณ กด Block ค้างไว้ คุณจะโดนลดเลือดเกราะไปเรื่อย และคุณจะไม่ได้อะไรจากการ Block นั้นเลย เป็นการเหมือนยืดเวลาการตายไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น การ Perfect Block และ Dodge จึงสำคัญมากในเกมนี้ และการ Dodge มี Dodge Window ที่สั้นมาก ท่าส่วนใหญ่ใช้ Dodge ธรรมดาจะหลบไม่ทัน เว้นแต่คุณจะกดรัว ๆ เพื่อทำระยะห่างจาก Boss แต่ก็เหมือนเดิม คุณจะไม่ได้อะไรจากการทำระยะห่าง เพราะ combo หลักของคุณคือการโจมตีระยะใกล้ด้วยดาบ

แต่ก็ใช่ว่าการบังคับกลาย ๆ ให้คุณต้องชินกับการ Perfect กับทุกอย่างจะกลายเป็นของยากไปเลย เพราะจริง ๆ แล้ว จังหวะในการกดนั้นมีช่วงเวลาให้เราเยอะเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องจำ Timing ได้ ว่าหลังจากบอสทำท่านี้แล้วจะตีต่อนะ พูดง่าย ๆ ว่ามันดูเหมือนยาก แต่มันชินง่ายก็ได้นะครับ

และด้วยระบบ Balance เป็นเกจพิเศษของบอส ที่เราน่าจะเคยเห็นจากเกม Souls เกมอื่น ๆ ที่ผ่านมา ที่เกจจะลดทุกครั้งที่เราทำ Perfect Block ได้ หรือใช้ท่าพิเศษที่ลบเกจ Balance ของบอสได้ ซึ่งหากถ้าเราตีเกจจนแตกหมด Eve จะใช้ท่าไม้ตายใส่ศัตรู ซึ่งจะทำดาเมจได้มหาศาล ซึ่งก็เป็นการบังคับให้เราต้องกด Perfect Block ไปอีกกลาย ๆ

ซึ่งระบบโจมตีหลักจะโฟกัสไปที่การใช้คอมโบตีระยะใกล้ด้วยดาบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอาวุธระยะไกลอย่างปืน ที่สามารถสับเปลี่ยนกระสุนใช้งานได้ตามสภาพสถานการณ์ แต่ตัวเกมดันใส่ระบบที่ทำให้ความสำคัญของการใช้อาวุธระยะไกลเข้ามาตอนใกล้จบ (แบบจะจบแล้วพึ่งมาเริ่มใช้ มีจอ tutorial ขึ้นตอนบอสใกล้สุดท้าย) กลายเป็นว่าเวลาต่อสู้จริง ๆ ประมาณ 80% แรกของเกม เราแทบจะไม่ต้องใช้ปืนยิงเลย ถ้าเราไม่อยากเสีย process การคิดว่าจะใช้ปืนเมื่อไหร่ เพราะดาเมจระยะใกล้เราทำได้เยอะกว่าปืนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะ advance มากขึ้น เราก็สามารถใช้ปืนยิงเพื่อรีดดาเมจได้อีก จากช่องว่างที่มีจากคอมโบดาบ แต่ใด ๆ คือช่วงต้นเกมแทบไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องใช้เท่าไหร่ใน Boss Fight แต่ในช่วงเดินตามแมปนอก Boss Fight ก็ถือว่ามีก็ดีกว่าไม่มี

ด้วยความที่ตัวเกมหยวนเราเยอะ เพื่อไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวเกมยากจนเกินไป เลยใส่ตัวช่วยเข้ามาเยอะ เช่น Ultimate ที่ทำให้เราตีรัว ตีแรง และเป็นอมตะชั่วคราว ไปจนถึง Gadgets ต่าง ๆ ยาที่ซื้อเพิ่มได้ หรือแม้แต่กระทั่งอุปกรณ์ชุบชีวิตตัวเอง แต่ตัวเกมกลับไม่ได้ใช้จุดนี้ทำให้เกมยากขึ้นให้มันสมเหตุสมผลกับที่เรามีตัวช่วยเยอะ กลายเป็นว่าหากเราขยันใช้ตัวช่วย เกมจะง่ายขึ้นเยอะ

จุดนี้เลยทำให้คิดว่า ตัวเกมยังตีความตัวเองได้ไม่ชัดเท่าไหร่ เช่นใน Description บอกว่าเป็นเกม Action RPG แต่เอาเข้าจริง ตัวเกมดึง Gimmick ของเกม Souls มาเน้น ๆ และใส่ Combat แบบ Stylish แบบ DMC เข้าไป แต่ตัวเกมพยายามหยวน ๆ ผู้เล่นเยอะมาก เหมือนอยากทำเกม Souls แต่ไม่อยากทำให้มันยากเกินไป มันเลยดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทั้งที่ส่วนตัวคิดว่า ถ้าเกิดตัวเกมเน้นสักจุดหนึ่ง อาจจะเจ๋งมาก ๆ ไปเลยในด้านนึง

การนำเสนอเนื้อหา

การนำเสนอตัวละคร Eve ยังรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีมาก ซีน หรือการโชว์ความเป็นตัวละคร Eve ไม่ค่อยมี หรือ reaction ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ของ Eve เองก็มีน้อย ทำให้เรานึกภาพไม่ออกว่าตัวเอกเป็นคนยังไง เป็นคนแบบไหน หรือถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ตัวเอกจะมีความรู้สึกแบบใด มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยอินกับเนื้อเรื่อง เพราะ reaction ตัวละครที่น้อย ภาพตามที่นึกไม่ค่อยออก ซึ่งตัวเกมมาเน้นจุดนี้ก็ช่วงหลังแล้ว ทำให้ช่วงแรก ๆ ของเกมที่ผ่านมารู้สึกว่า Eve เป็นตัวละครที่ดูกลวง ๆ

ตัวเกมยังขาดการ Build อารมณ์ร่วมเยอะ มีแค่บางฉากทำได้ดี บางฉากก็คือไม่มีเลย เป็นบทพูดโยน ๆ มาเพื่อเฉลยปม หรือต่อปมต่อไปเท่านั้น ซึ่งช่วงหลังมีฉากแบบนี้ที่บิลด์อารมณ์ได้ดีอยู่บ้าง และทำได้ดีมาก ทั้งการบิลด์อารมณ์ก่อนเข้าปะทะ การนำเสนอฝั่งของ Eve ว่ารู้สึกยังไงอยู่ และต้องการสิ่งใด บวกกับซีนเท่ ๆ และเพลงประกอบที่เร้าใจ มันทำออกมาได้ดีมาก แต่ข้อเสียคือซีนแบบนี้ดันมาอยู่เอาซะตอนหลังซะแล้ว

ซึ่งแก่นของเนื้อเรื่องที่อยากจะสื่อถึงผู้เล่นดี มีการนำเสนอคำถามที่เกมอยากถามเราแต่แรกว่า สุดท้ายแล้วการเป็นมนุษย์คืออะไร? มนุษยชาติคืออะไร?

การนำเสนอเนื้อเรื่องอยู่ในระดับพอใช้ได้ รู้สึกว่าแอบเล่างงไปนิด ซึ่ง Main Story ส่วนใหญ่ต้องอ่านเอาจากไฟล์มากกว่า จะเข้าใจเนื้อเรื่องมากกว่า แปลว่าคุณต้องขยันสำรวจ ขยันหา และส่วนใหญ่เนื้อเรื่องที่เราขยันหาจะแอบสปอยอะไรนิดหน่อย ให้เราพอไปปะติดปะต่อเองได้ก่อน ซึ่งมันเป็นเหมือนดาบสองคมนิดหน่อยตรงที่บางอย่างเราไปเจอเองในฉากหลัก อาจจะเซอร์ไพรส์กว่า เหมือนบาลานซ์ Player Experience ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบสำรวจ ไม่ค่อยเก็บเนื้อเรื่องที่แอบซ่อนอยู่ คุณก็อาจจะแทบจะไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเลย

มีการนำเสนอ Side Quest ที่เน้นไปในทางให้คนเล่นรู้สึกว่ามันดาร์กเยอะมาก แต่ไม่มีการบิลด์อารมณ์เป็นขั้นบันไดก่อน ทั้งที่ในผลงานที่ผ่านมาอย่าง Nikke ทางค่ายทำพาร์ตนี้ได้ดี แต่รอบนี้กลับทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ทำให้รู้สึกว่าใส่มาสิ้นเปลือง และ Side Quest ส่วนใหญ่ตื้น เป็นแค่การเดินไปหา กลับแล้วจบ หรือไปเดินหาของ หรือฆ่ามอนเอารหัสมาเปิดประตู มีแค่ Side Quest หลัก ๆ ไม่กี่อันเท่านั้นที่ลึก บางอันเป็น Quest แบบ Sequences ทำต่อ ๆ กันเป็นเนื้อเรื่อง

อีกจุดหนึ่งที่ชอบมากของเกมนี้คือเรื่อง Soundtrack ส่วนใหญ่เป็น Pop ผสม EDM มีการออกแบบเพลงให้แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ฉากสำคัญ จุดพัก รวมไปถึงบอสแต่ละตัวมีเพลงประจำตัวของตัวเองหมด รวมไปถึงการหยิบเอาเพลงที่แต่งมาใส่ในซีนที่บิลด์อารมณ์ พอผสมกับคัตซีนเท่ ๆ แล้ว มันออกมาดีงามมาก ซึ่งทั้งเกมใช้เพลงดี ๆ สิ้นเปลืองมาก บางทีโผล่มาแค่นิดเดียวก็มีเพลงประจำฉากนั้น ๆ ปัญหาเดียวคือมันหาฟังไม่ได้เนี่ยแหละ กว่าเกมจะออกจำหน่าย กว่าค่ายจะปล่อย Soundtrack อีก (ฮา) เห้อ ความลำบากของคนรีวิวเกม

เนื้อหา

ตัวเกมมีฉากจบหลายฉาก แต่การที่คุณจะได้ฉากจบที่เหลือ คุณต้องเล่นใหม่แต่ต้น มีปลด New Game+ แต่ไม่มีการกลับไปเลือก Chapter ผมเล่น playthrough แรกไป 43 ชั่วโมง เก็บ Side Quest เกือบครบ แปลว่าคุณต้องใช้เวลาราว ๆ 50 ชั่วโมง เพื่อเก็บเนื้อหาทุกอย่าง (แบบ 1 Ending) และต้องอย่างน้อยราว ๆ 100 ชั่วโมง เพื่อจบทุก Ending 50 + 25 + 25 hrs

มีโหมดเนื้อเรื่อง และโหมดปกติ และโหมดยากที่ปลดหลังเล่นจบครั้งแรก ซึ่งถ้าคุณอยากเก็บถ้วย Platinum ผมจะบอกว่าคุณต้องเล่นจบอย่างน้อย 3 รอบแน่นอน เล่นกันไปจุก ๆ

แต่เกมนี้ในแง่ Replay-able Value รู้สึกว่าอาจจะไม่ได้เยอะมากนัก เช่นถ้าคุณอยากเก็บให้ครบทุกอย่างในเกม ผมลองวางแผนให้เลย เล่นรอบแรกตึง ๆ ด้วยระดับความยาก Standard 50 ชั่วโมง ได้ 1 Ending แบบเก็บครบทุกอย่างที่รอบแรกจะเก็บได้ เล่นจบปลด Hard Mode ต่ออีกสัก 30 ชั่วโมง ได้อีก 1 Ending และอาจจะกลับไปเล่น Story Mode อีกสักรอบเพื่อเก็บอีก 1 Ending อีกสักประมาณ 25 ชั่วโมง ก็จะอยู่ที่ 100 ชั่วโมงโดยประมาณ สำหรับคนที่อยากเก็บให้ครบทุกเนื้อหา ก็ถือว่าไม่มาก ไม่น้อยแหละนะครับ

กราฟิก และประสิทธิภาพ

Performance ถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม เล่นบนเครื่อง PS5 รุ่นแรก ไม่เจอปัญหากระตุก เฟรมร่วง หรืออะไร “เลย” โหลดข้ามฉากทำได้รวดเร็ว ไม่ค่อยรู้สึกว่าต้องรออะไร ระบบกราฟิกปรับได้สามแบบ Framerate (60fps) / Balanced (45-50 fps) / Graphics (30 fps) ซึ่งในโหมด Graphics และ Balanced ภาพไม่ค่อยต่างกันมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการแอบลดความละเอียด texture ของวัตถุที่อยู่ระยะไกล โดยรวมโหมด Balanced คือเหมาะแก่การเล่นที่สุด เป็นเกมที่ Optimized มาแบบดีเยี่ยมมาก แม้ตอนเล่นครั้งแรกจะเล่นในช่วงหลัง Gold Stage (ช่วงที่พัฒนาเกมเสร็จสมบูณ์) เพียงแค่ไม่กี่วัน

ส่วนของเรื่องภาพกราฟิกทำออกมาได้ดีสมกับเป็นเกม Next Gen แสง เงา Ray Traced ทำออกมาได้สวยงาม มีฉากที่เล่นกับแสงเงาเยอะ การจัดแสงในแมปต่าง ๆ ทำได้สวยงาม ดีเทล และ Texture บางจุดอาจจะมีการหยิบมาวางซ้ำ ๆ กันเยอะไปบ้าง แต่ถ้าเราไม่ช่างจับผิดมาก ก็พอจะมอง ๆ ข้ามมันไปได้ ในส่วนของตัวละครก็ทำดีเทลออกมาได้ดีโดยเฉพาะอีฟ จะมีดีเทลของตัวละครลึกที่สุด ส่วนตัวละครสมบท ไปจนถึง NPC ขึ้นอยู่กับบางตัว บางตัวดีเทลเยอะมาก แต่บทน้อย บางตัวบทเยอะแต่ดีเทลไม่ลึกก็มี รวมไปถึงเรื่อง Facial Motion และท่าทางในคัตซีนที่ไม่ใช่ฉาก Action เห็นชัดว่าเป็นการ Rigging เลยอาจจะดูแข็ง ๆ เหมือนกันเกม RPG ยุคเก่าที่เวลาคุยกันจะยืนทำท่าทางวน ๆ ก็เป็นจุดเล็กจุดน้อยที่ไม่ได้สำคัญอะไร แต่ก็ mentioned ไว้ให้ฟังครับ

โดยรวมมันเป็นเกมที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากเล่นเกมแนว Souls แบบแนวทางใหม่ แต่มันอาจจะไม่ได้ยากจุใจระดับรุ่นพี่เทพอย่าง Elden Ring หรือ Dark Souls Series รวมถึงบอสที่ให้เราปะทะก็ไม่ได้เยอะมาก แต่มันก็เป็นเกม Action ผจญภัยที่โดดเด่น มี Art Direction ที่สวยงาม เนื้อเรื่องที่แฝงไปด้วยปรัชญา และปมที่กระตุ้นให้เราไปคิดต่อ มีจุดที่ดีเยอะมากโดยที่ไม่ต้องมองถึงความ appealing ของตัวอีฟเลย

และนี่คือเกมแรกจากค่ายเกมที่ทำแต่เกมมือถือมาเป็น 10 ปี ยังมีจุดที่ทำได้ไม่ดีอยู่บ้างนิดหน่อย เพราะอาจจะเป็น First Timer แต่ประสบการณ์โดยรวมมันสุดยอดมาก นี่คือเกมที่ควรหามาเล่นหากคุณมีเครื่อง PS5 หรือเป็นแฟนเกม Souls หรือ NieR Series ก็ตาม

ที่สำคัญจะลืมพูดไม่ได้เลยคือตัวเกมมีซับไทยด้วยนะ แปลออกมาได้อยู่ในระดับใช้ได้เลย ซึ่งรองรับทั้งการแปลตัวหน้าเมนู Interface ทุกอย่าง ที่เป็นตัวหนังสือเลย เอาเป็นว่าใครไม่คล่องภาษาอังกฤษ บอกเลยว่าสบายหายห่วง

และนี่ก็คือทั้งหมดของรีวิวแบบบทความ Stellar Blade ส่วนเวอร์ชันวิดีโอจะถูกอัปเดตในช่องทางต่าง ๆ ของ Thailand Game Show อีกครั้ง YouTube / Facebook กดไลก์ กดติดตามกันไว้ให้ดี! เพราะมีฟุตเทจพิเศษที่มีเฉพาะในรีวิววิดีโอด้วย