Our score
9.2Clair Obscur: Expedition 33
จุดเด่น
- กราฟิกสวยงามการนำเสนอดีมาก
- เกมเพลย์สนุกแบบคลาสสิก
- มีการปรับให้ทันสมัยไม่เชย
- เนื้อเรื่องดีงาม
จุดสังเกต
- อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบแนว RPG
-
กราฟิก
9.5
-
เกมเพลย์
9.0
-
ความคุ้มค่า
9.0
-
ภาพรวม
9.5
เป็นที่รู้กันว่ารูปแบบการเล่นแบบเทิร์นเบส RPG แบบเดิม ๆ ที่ดูเชยเกินไปแล้วในยุคนี้ เกมดัง ๆ ที่เคยใช้รูปแบบเกมเพลย์นี้ล้วนยกเลิกและเปลี่ยนไปใช้แนวทางอื่นแทน เช่น Final Fantasy ที่เน้นแอ็กชันมากขึ้นจนไม่เหลือความคลาสสิก แม้จะยังมีหลายเกมใช้รูปแบบนี้อยู่แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเกมฟอร์มเล็กมากกว่า นอกจากนี้เคยมีข้อมูลว่าผู้สร้างเองก็มองว่าทุกวันนี้คงจะไม่สามารถพัฒนาแนวทิร์นเบสให้ทันสมัยได้แล้ว

แต่แล้วก็มีเกม Clair Obscur: Expedition 33 ที่สามารถทำลายกรอบความคิดนี้ได้ โดยเป็นผลงานของอดีตทีมงานจากค่าย Ubisoft ที่ลาออกมาพัฒนาเกมของตัวเอง ทำให้มันไม่ใช้ผลงานของมือใหม่แน่ โดยเกมจะวางขายบน PlayStation 5, Xbox Series X/S และ PC

ส่วนเนื้อเรื่องออกมาแนว Dark Fantasy โดยในทุก ๆ ปีจะเกิดเหตุการณ์ที่เทพ “เพนเทรส” จะเขียนตัวเลขลงบนภาพวาดของเธอ ซึ่งคนในดินแดนนี้หากมีอายุตรงกับตัวเลขนี้ก็จะร่างสลายหายไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดำเนินมาตลอดเวลา 68 ปี และล่าสุดถึงคิวเลข 33 แต่ก่อนจะเกิดเหตุร้ายได้มีการส่งอาสาสมัครเพื่อไปต่อสู้กับ เพนเทรส เพื่อหยุดวงจรนี้ลงเสียที

กราฟิกระดับสูงและงานออกแบบดีงาม
โดยเกม Clair Obscur: Expedition 33 พัฒนาด้วย Unreal Engine 5 ทำให้กราฟิกของเกมออกมาดูดีสมกับเกมฟอร์มยักษ์ระดับ AAA ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่โดดเด่น ทุกอย่างดูดีสมจริงไม่ว่าจะเป็นฉากในเกมที่อยู่ในโลกแฟนตาซีที่มีงานออกแบบมาแนวทางตะวันตกแต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ ส่วนเฟรมเรตทีมงานได้ลองเล่นบน PS5 ก็อยู่ในระกับดีทำได้ 60 FPS ถือว่าลื่นไหลเมื่อเทียบกับคุณภาพกราฟิกระดับนี้

ที่ทำให้เราอินไปกับเรื่องราวที่มีเนื้อเรื่องกินใจและสะเทือนอารมณ์ ยิ่งมาผสานกับเพลงประกอบที่ยอดเยี่ยมและมีคุณภาพสูง พร้อมกับเสียงพากย์ระดับมืออาชีพหรือดาราดังจากซีรีส์ Daredevil อย่าง ชาร์ลี ค็อกซ์ (Charlie Cox) และนักแสดงผู้รับบท Gollum อย่าง แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) และยังมาพร้อมกับ เบน สตาร์ (Ben Starr) ผู้ภาคเป็น Clive ตัวเอกจาก Final Fantasy 16 ที่มาให้เสียงในเกมนี้ด้วย เรียกว่าแต่รายชื่อของทีมงานก็รู้ถึงการลงทุนของทีมงานแล้ว

รูปแบบการเล่นแบบคลาสสิกที่ปรับให้ทันสมัย
หากคุณคิดว่าเกมเพลย์แนว “เทิร์นเบส RPG” จะดูเชยและไม่สามารถพัฒนาให้ดูดีกว่านี้ได้แล้วก็อยากให้มาลองเล่น Clair Obscur: Expedition 33 เพราะมันมีจิตวิญญาณของเกม JRPG ในตำนานมากมาย เนื่องจากทีมงานเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์เกม RPG จากแดนปลาดิบ ทำให้ตัวเกมมีอะไรที่เราคุ้น ๆ อยู่มากมายไม่ว่าเป็นงานออกแบบเมนูของซีรีส์ Persona หรือการนำเสนอแบบเกม Final Fantasy

แต่มันไม่ได้มาแบบเดิม ๆ เพราะมีการอัปเกรดเหมือนกับติดเทอร์โบให้เกมแนวเทิร์นเบส RPG ให้ทันสมัยและไม่เชย แม้ว่ารูปแบบการเล่นจะอยู่ในกรอบเดิม ๆ ที่มีการเดินบนฉากกว้าง ๆ ที่มีอะไรให้สำรวจมากมาย และยังมาพร้อมกับการตัดเข้าฉากต่อสู้เหมือนเดิม แต่ความโดดเด่นคือระบบความรวดเร็วที่ทำได้อย่างเหลือเชื่อ ต้องขอบคุณสเปกของเครื่องเกมยุคนี้ที่ทำให้การเล่นทำได้รวดเร็วมาก เพราะการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นในฉากบนดันเจี้ยนที่ทำได้รวดเร็วลื่นไหลไม่มีสะดุด ถือเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกมสนุกเร้าใจมากขึ้นด้วย

โดยในส่วนของฉากต่อสู้ที่แม้จะมีความเป็นเทิร์นเบส RPG แบบเดิม ๆ ไม่ได้ฉีกออกไปเป็นแอ็กชันเหมือน RPG ยุคใหม่ แต่ก็เพิ่มความรวดเร็วเข้าไปจนเกมไม่เชย แถมยังใส่ระบบกดปุ่มตามจังหวะหรือที่เรียกว่าระบบ Quick Time Event (QTE) เข้าไปที่เมื่อกดได้ตรงกับจังหวะจะเพิ่มความรุนแรงของท่าไม้ตายเราได้ แม้จะไม่ได้เป็นระบบที่แปลกใหม่อะไรเพราะมีหลายเกมใช้มาหลายปีแล้ว แต่เป็นข้อดีที่ช่วยเสริมให้การเล่นสนุกมากขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้เกมเพลย์ในฉากต่อสู้สนุกและลุ้นมากขึ้นคือระบบปัดป้องและสวนกลับ หรือที่เรียกกันว่าระบบ Parry ที่หากเราสามารถปัดป้องการโจมตีของศัตรูได้ตรงจังหวะ ตัวละครของเราจะสามารถสวนกลับด้วยความรุนแรงได้ ซึ่งมันจำเป็นอย่างมากในการเล่นเพราะหากฝึกจนชำนาญจะทำให้เราต่อสู้กับศัตรูสุดโหดได้ง่ายขึ้น และยังทำให้เกมเพลย์สนุกขึ้นมาก เพราะมีอะไรให้ทำมากกว่าแค่นั่งกดปุ่มตามคำสั่ง

เกมเพลย์สนุกน่าติดตามและมีอะไรให้ทำมากมาย
อีกส่วนที่ทำให้เราอยู่กับเกมได้นานคือผู้สร้างได้จำลองโลกกว้าง ๆ ที่มีทั้งฉากแผนที่โลกและมีดันเจี้ยนให้สำรวจ นอกจากนี้ยังเสริมด้วยสิ่งที่ซ่อนอยู่รอให้เราไปค้นหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นไอเทมพิเศษหรือภารกิจย่อยที่ใส่เข้ามามากมาย เรียกว่าเอาแค่เนื้อเรื่องหลักก็ใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมงแล้ว แต่หากจะเก็บเรื่องราวให้ครบอาจจะทำให้เราสนุกจนหมดเวลาไปหลายสิบชั่วโมงเลยก็ได้

ส่วนระบบการพบเจอศัตรูในเกมจะใช้การเห็นศัตรูบนแผนที่เป็นตัวแล้วเดินไปชนจะตัดเข้าฉาก ที่ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงได้หากต้องการสำรวจฉากมากกว่าต่อสู้ นอกจากนี้ระบบอัปเกรดสกิลความสามารถตัวละครที่มีทั้งระบบเลเวลแบบดั้งเดิม และยังเสริมด้วยการเดินสายเลือก “สกิล” ที่ต้องการแบบที่เรียบง่าย แต่ก็สามารถเพิ่มความสามารถของตัวละครได้หลากหลายมาก

นอกจากนี้ความแตกต่างของตัวละครจะสูงมากทุกตัวจะมีความโดดเด่นที่มีความสามารถที่ไม่เหมือนกันและมีความโดดเด่นและจำเป็นต่อการเล่น ทำให้การเล่นในแต่ละตัวไม่เหมือนกันซึ่งถือเป็นข้อดีและทำให้เกมมีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนระบบที่ต้องมีคือการแพ้ทางของธาตุที่ช่วยให้การต่อสู้กับศัตรูง่ายขึ้น โดยรวมแม้จะไม่ได้เป็นระบบที่แปลกใหม่แต่ก็ผสานรวมกันจนเป็นเกมเพลย์ที่ลงตัวถือว่าผู้สร้างทำการบ้านออกมาได้ดีมาก

สำหรับเกม Clair Obscur: Expedition 33 ถือเป็นจดหมายรักที่ส่งถึงผู้สร้างเกม JRPG จากญี่ปุ่นว่าระบบการเล่นแบบ “เทิร์นเบส RPG” ยังไม่เชยและยังคงความสนุกที่มีแฟนทั่วโลกรอคอย เพียงแต่ต้องปรับแต่งให้ลื่นไหลและใส่ความเป็นแอ็กชันเข้าไป และสำหรับแฟนเกมแนว JRPG แล้วถือว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่ามันจะเป็นหนึ่งในเกมยอดเยี่ยมประจำปี 2025 ได้อย่างแน่นอน