ในสังคมไทยนั้นหมุนไปด้วยความคาดหวังและภาพลักษณ์ของความสำเร็จ พ่อแม่ชนชั้นกลางมักเผชิญกับ “กับดัก” ที่ถูกสร้างจากทั้งโครงสร้างสังคมและความกดดันภายในจิตใจของตนเอง ซึ่งหยั่งรากลึกในสังคมอย่างยาวนาน และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นราวกับเป็นพันธุกรรมของมนุษย์ BT จะพาไปสำรวจกับดักร้ายที่พ่อแม่ชนชั้นกลางเผชิญ ผ่านเลนส์ จากภาพยนตร์ “ลักกันวันตาย”

กับดักที่ 1 ภาพลักษณ์ของ”ความมั่นคง” 

ประโยคที่ว่า “มีลูกหนึ่งคน จนไปสิบปี” ดูไม่เกินจริงเลยสำหรับยุคนี้ เพราะความต้องการให้ลูกได้มีอนาคตที่ดีที่สุด กลายเป็นกับดักที่บีบคั้นให้พ่อแม่ต้องดิ้นรนและรักษาภาพลักษณ์ของความมั่นคงเอาไว้

จากภาพยนตร์ “ลักกันวันตาย” ได้ฉายภาพสะท้อนกับดักของพ่อแม่ชนชั้นกลางได้อย่างดี ผ่านตัวละคร โต ผู้เป็นพ่อที่ต้องดิ้นรนหาเงิน 15 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนในโรงเรียนชั้นนำให้ลูกสาว กลายมาเป็นกับดักที่บีบคั้นให้พ่อแม่ต้องดิ้นรนและรักษาภาพลักษณ์ของความมั่นคงเอาไว้ การดิ้นรนที่ต้องแบกต้นทุนที่สูงลิ่ว เพื่อ “ซื้อสังคมที่ดี” ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนชั้นนำหรือโรงเรียนนานาชาติ หรือพ่อแม่บางบ้านเสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษ คอร์สดนตรี ศิลปะ เพื่อคุณภาพการเรียนที่ดีของลูก

แม้สิ่งที่ทำอาจถูกมองว่าเพื่ออนาคตที่ดีของลูกก็จริง แต่ก็สร้างเงื่อนไขที่โหดร้ายต่อผู้เป็นพ่อแม่ไม่ต่างกัน นั่นก็คือการทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงนี้ไว้ โดยห้ามป่วย ห้ามตาย ไม่ว่าจะแลกด้วยการพักผ่อน สุขภาพ หรือแม้กระทั่งยอมแลกด้วยศีลธรรมก็ตาม หากลูกไม่ประสบความสำเร็จตามกรอบที่สังคมกำหนด พวกเขาก็จะรู้สึกว่าล้มเหลวในฐานะพ่อแม่ นี่จึงเป็นกับดักที่มองว่าเป็นความมั่นคง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณนั่นแหละที่กำลังสูญเสียความมั่นคงซะเอง

กับดักที่ 2 เป็นข้ออ้างหรือการเสียสละตัวเองเพื่อลูก

การเสียสละตัวตนของผู้เลี้ยงดูมักปรากฏในรูปแบบของการละทิ้งความฝันหรือความสุขส่วนตัวเพื่อทุ่มเทให้กับการเลี้ยงลูก พ่อแม่หลายคนอาจเลือกงานที่มั่นคงแต่ไม่ชอบ หรือลดเวลาสำหรับงานอดิเรกเพื่อให้ลูกมีโอกาสที่ดีกว่า กับดักนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อพ่อแม่รู้สึกว่าต้อง “ชดเชย” ความฝันที่ตัวเองไม่เคยไปถึง ผ่านความสำเร็จของลูก เช่น การผลักดันให้ลูกเรียนแพทย์หรือวิศวกรเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง

อีกตัวอย่างที่สะท้อนถึงแรงกดดันนี้ได้อย่างชัดเจน คือตัวละครผู้เป็นพ่อในภาพยนตร์เรื่อง “ลักกันวันตาย” ซึ่งการทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมราคาแพง จนกระทั่งเผชิญทางตัน ได้ผลักดันให้เขาต้องเลือกเส้นทางที่ผิดพลาด ด้วยการใช้เงินจากบัญชีคนตาย การกระทำนี้เผยให้เห็นถึงด้านมืดของความรักและความรับผิดชอบที่สามารถบีบคั้นให้คนธรรมดาต้องถลำลึกสู่การตัดสินใจที่อันตราย เพียงคำว่า “ทำไปเพื่อลูก”

กับดักที่ 3 การเปรียบเทียบและความรู้สึกไม่เพียงพอ

เช่นเดียวกับที่ตัวละครใน ลักกันวันตาย ต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนและความกลัวภายในใจ พ่อแม่ชนชั้นกลางถูกกดดันจากสังคมที่เปรียบเทียบกันอย่างไม่หยุดหย่อน โซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีที่พ่อแม่รู้สึกว่าต้องโชว์ความสำเร็จของลูก ไม่ว่าจะเป็นรางวัลจากโรงเรียนหรือการไปเที่ยวต่างประเทศ 

ความกดดันนี้ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าไม่เคย “ดีพอ” หากลูกไม่สามารถตามทันเพื่อนหรือครอบครัวอื่น กับดักนี้ยังถูกขยายโดยระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขันและค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ พ่อแม่บางคนอาจรู้สึกผิดหากลูกไม่ได้เรียนในโรงเรียนชั้นนำหรือไม่ได้คะแนนสูงสุด สิ่งนี้ทำให้เกิดวงจรของความเครียดที่ส่งต่อจากพ่อแม่ไปสู่ลูก และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในครอบครัว

การยอมรับและปรับสมดุลชีวิตในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน

การตั้งเป้าหมาย วางแผนอาคตเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกก็เป็นเรื่องที่ดี แต่บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักมองข้าม “ต้นทุนที่จ่ายแพงที่สุด” ที่มากกว่า ค่าเทอม หรือค่าคอร์สเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่คือเวลาและรอยยิ้ม ที่จางหายไปเพราะความเครียด ความอบอุ่นของครอบครัว ที่ลูกก็ต้องการเช่นเดียวกัน จากการที่กำลังซื้ออนาคตให้ลูก มันกำลังกลายเป็นคุณเองนั่นแหละที่กำลังขายเวลาอันมีค่าที่สุดกับครอบครัวไป

ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันยิ่งเพิ่มแรงกดดันเพิ่มขึ้น เมื่อผลสำรวจพบว่าหนี้ครัวเรือนไทยสูงถึงเฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท และคนไทยกว่า 46.3 % ไม่เคยเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน สาเหตุหลักมาจากรายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพสูง 

ภาระอันหนักอึ้งในฐานะพ่อแม่ผู้เป็น ”เดอะแบก” ของครอบครัว ทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าเล่าเรียนของลูก กลายเป็นความกดดันที่ต้องทุ่มเทจนสุดตัว 

อย่างไรก็ตาม การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ และการปรับสมดุลระหว่างภาระทางการเงินกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรตระหนักถึง พูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินและความเป็นจริงของชีวิต เป็นการปลูกฝังความเข้าใจและการมีส่วนร่วมในครอบครัว

นอกจากนี้ สังคมไทยเองก็อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมที่เน้นการแข่งขันสูง และหันมาสนับสนุนความหลากหลายของเส้นทางสู่ความสำเร็จ เพื่อลดแรงกดดันต่อทุกครอบครัวให้สามารถเลือก “ความสุข” ที่เหมาะสมกับบริบทของตนเองได้