เรื่องที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากเมื่อช่วงปี 63 คือเหตุการณ์การหายตัวไปของ แจ็ก หม่า (Jack Ma) ผู้บริหารระดับสูงของ Ant Group เจ้าของอาลีบาบา (Alibaba) ซึ่งหม่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อหรือแม้กระทั่งในบริษัทเองก็ไม่มีใครเห็นเขาเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาไปวิจารณ์ทัศนคติของหน่วยงานกำกับดูแลในจีน จนโดนทางการเรียกตัวไปปรับทัศนคติ

ซึ่งล่าสุด He Jinbi ผู้ก่อตั้ง Maike Metals International ผู้นำเข้าทองแดงกลั่นรายใหญ่ที่สุดของจีนก็เพิ่งหายตัวไปเช่นกัน ขาดการติดต่อกับบริษัทไปเลย หลายคนเชื่อว่าเขาถูกตำรวจพาตัวไปยังมณฑลส่านซี (Shaanxi) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โดยก็ยังไม่ทราบว่าทำไมเขาถึงถูกจับตัวไป แล้วทำไมในจีน เหล่ามหาเศรษฐีถึงทยอยหายตัวไปทีละคนแบบนี้

เหตุผลหลักที่เหล่าเศรษฐีหายตัวไป หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ต้องการจะควบคุมเศรษฐกิจจีนให้ได้อย่างเด็ดขาด ตามนโยบาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common prosperity)’ ลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ เพิ่มกำลังให้กับคนที่มีรายได้น้อยกว่า เพื่อยกระดับชีวิตของทุกคนให้เท่าเทียม

อีกเหตุผลหนึ่งคือ สี จิ้ผิง ต้องการควบคุมอำนาจของเหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นให้ได้ เพราะหลังจีนเปิดประเทศแล้ว ทำให้ประเทศก่อเกิดกลุ่มมหาเศรษฐีพันล้านขึ้นมาได้มากมาย และด้วยความมั่งคั่งขนาดนั้น ย่อมทำให้พวกเขามีอำนาจตามมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม อย่าให้เศรษฐีพวกนั้นมีอำนาจเหนือตนได้

จากข้อมูลบอกว่าสียังควบคุมศูนย์กลางอำนาจของตนอย่างเข้มข้น พร้อมขยายขอบเขตความสนใจไปที่ระบบเศรษฐกิจ ให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามากขึ้น ซึ่งนโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันนี่แหละ ที่นำไปสู่การปราบปรามครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์จีนยืนยันว่านโยบาย Common prosperity จะส่งผลดีต่อทุกคนอย่างแน่นอน เพราะมันมีเป้าหมายหลักเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะ จะไม่มีใครหน้าไหนสามารถแผ่ขยายอิทธิพลของตนจนรัฐบาลควบคุมไม่ได้

ย้อนกลับไปในช่วงที่ แจ๊ก หม่า หายตัวไป เขาถูกจับไปปรับทัศนคติเพียงเพราะเขาวิจารณ์หน่วยงานกำกับดูแลในจีนเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เหริน จื้อเฉียง (Ren Zhiqiang) มหาเศรษฐีสายอสังหาริมทรัพย์ ก็เคยเขียนบทความวิจารณ์ท่านผู้นำและเรียกสีว่า ‘ตัวตลก’ มาแล้ว จนถูกตัดสินจำคุก 18 ปีในข้อหาคอร์รัปชัน

สุดท้ายแล้ว หลายฝ่ายก็เชื่อว่าในอนาคต ยังต้องมีเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน นอกจากเหล่ามหาเศรษฐีจะต้องไม่ทำตัวเกินหน้าเกินตาพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว ยังต้องห้ามวิจารณ์รัฐบาลออกสื่อด้วย เรื่องนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่าการทำแบบนี้ จะส่งผลดีในระยะยาวต่อประเทศจีนหรือไม่ เพราะการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้แต่เพียงผู้เดียวแบบนี้ ย่อมเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นโดยรวมของประเทศแน่นอน

ที่มา: The Straits Times, TOI, CNBC