ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เริ่มลุกลามไปในหลายมิติ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ “แรงงานข้ามชาติ” โดยเฉพาะชาวกัมพูชา ที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทยมายาวนาน แต่ถ้าสถานการณ์การสู้รบกันครั้งนี้สิ้นสุดลง แล้วแรงงานกลุ่มนี้หายไป เศรษฐกิจไทยจะยังเดินหน้าต่อได้ไหม ?
สถานการณ์แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
จากรายงานของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน เดือนมิถุนายน 2568 ระบุว่าประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักรทั้งสิ้น 4,064,810 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากและสะท้อนถึงการพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวในระบบเศรษฐกิจไทย แรงงานเหล่านี้จำแนกตามลักษณะการเข้าเมืองได้ดังนี้
- มาตรา 59 (แรงงานทั่วไปและ MOU) จำนวน 824,933 คน (ประเภททั่วไป 132,621 คน และนำเข้าตาม MOU 692,312 คน)
- มาตรา 62 (ส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายอื่น ๆ) จำนวน 60,275 คน
- มาตรา 63/1 (ชนกลุ่มน้อย) จำนวน 100,410 คน
- มาตรา 63/2 (ตามมติคณะรัฐมนตรี) จำนวน 3,041,287 คน
- มติ ครม. 24 ก.ย. 67 (จดทะเบียนสถานะไม่ถูกกฎหมาย) 1,010,592 คน
- มติ ครม. 24 ก.ย. 67 และ 4 ก.พ. 68 (ต่ออายุ) 2,030,695 คน
- มาตรา 64 (ทำงานไป-กลับหรือตามฤดูกาล) จำนวน 37,905 คน
ในจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมดกว่า 4 ล้านคนนี้ เป็นแรงงานจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีสัดส่วนสูงถึง 3,826,856 คน แบ่งเป็นมากที่สุดอันดับ 1 จาก เมียนมา (หรือพม่า) จำนวน 2,987,988 คน รองลงมาคือ กัมพูชา จำนวน 512,184 คน และอันดับ 3 คือ ลาว จำนวน 289,217 คน
จะเห็นได้ว่าแรงงานจากกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13% ของแรงงานต่างด้าวทั้งหมดในประเทศไทย แม้จะน้อยกว่าแรงงานเมียนมา แต่ก็ถือเป็นกำลังสำคัญและมีความจำเป็นในหลายภาคอุตสาหกรรมของไทย

ที่มา khmertimeskh.com
ความสำคัญของแรงงานกัมพูชาต่อเศรษฐกิจไทย
แรงงานจากกัมพูชามีบทบาทสำคัญในภาคส่วนที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น (labor-intensive) ซึ่งมักเป็นงานที่แรงงานไทยหลีกเลี่ยงหรือไม่เพียงพอ หากไม่มีแรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานแทน จะเกิดปัญหา “กำลังคนขาดแคลน” อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจหลักดังต่อไปนี้
ภาคก่อสร้าง แรงงานกัมพูชาเป็นกำลังหลักในงานที่ใช้แรงกายสูง เช่น การแบกปูน เทคอนกรีต และก่ออิฐ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์
ภาคการผลิตอาหาร โรงงานแปรรูปอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่โรงงานปลากระป๋องไปจนถึงโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ล้วนพึ่งพาแรงงานต่างด้าวรวมถึงแรงงานกัมพูชาในกระบวนการผลิต
ภาคเกษตรและปศุสัตว์ ในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ แรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานตามฤดูกาลเพื่อช่วยเก็บเกี่ยวพืชผล ดูแลปศุสัตว์ ซึ่งเป็นงานที่ต้องการความต่อเนื่องและแรงงานจำนวนมาก
ภาคบริการ โรงแรมและร้านอาหารหลายแห่งใช้แรงงานกัมพูชาในตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาด ล้างจาน และเสิร์ฟ ซึ่งช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจบริการ
ที่มา phnompenhpost.com
การเคลื่อนไหวของแรงงานกัมพูชา หลังเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชา
เหตุการณ์ปะทะกันที่ชายแดนทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัย แรงงานจำนวนมากกลัวว่าจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบและอาจถูกทำร้ายหากยังอยู่ในประเทศไทย
มีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่แรงงานกัมพูชาว่าใครไม่กลับ จะถูกตัดชื่อออกจากประเทศ หรือถูกยกเลิกสิทธิ์ต่าง ๆ ทำให้แรงงานตัดสินใจเดินทางกลับแม้จะไม่อยากกลับก็ตาม
จากการประเมินของ อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) คาดว่าอาจมีแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศราว 200,000 คน จากทั้งหมดประมาณ 500,000 คน ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนย้ายแรงงานระลอกใหญ่ที่สุดในรอบหลายเดือน
ผลกระทบหากไทยปฏิเสธไม่รับแรงงานกัมพูชา
การที่ประเทศไทยจะตัดสินใจปฏิเสธไม่รับแรงงานจากกัมพูชาอย่างสิ้นเชิงนั้นเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ว่าในสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองอาจมีการใช้ประเด็นแรงงานเป็นเครื่องมือ
แต่ในทางปฏิบัติ การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
1. แรงงานกัมพูชากว่า 500,000 คนเป็นส่วนสำคัญในหลายภาคส่วนเศรษฐกิจไทย การดึงแรงงานเหล่านี้ออกไปอย่างกะทันหันจะสร้างภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง
2. ข้อตกลงและกรอบความร่วมมือ ไทยและกัมพูชามี MOU ด้านแรงงาน ซึ่งเป็นการจัดระเบียบและอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงาน การยกเลิก MOU จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะคู่ค้าและประเทศที่ให้ความร่วมมือ
3. ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย หากมีการปิดช่องทางถูกกฎหมาย อาจทำให้แรงงานกัมพูชาจำนวนมากพยายามลักลอบเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มภาระในการควบคุมและปราบปราม และอาจนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

มาตรการรองรับและทางเลือก
แม้ว่าการปฏิเสธแรงงานกัมพูชาโดยสิ้นเชิงจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากมีความจำเป็น ไทยอาจต้องพิจารณามาตรการรองรับและทางเลือก
1. เพิ่มการนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่น ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เช่น เมียนมา ลาว และพิจารณาประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการส่งแรงงาน อย่างไรก็ตาม แรงงานเมียนมาเองก็มีข้อจำกัดจากสถานการณ์ภายในประเทศ และแรงงานลาวอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งหมด
2. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานคนในภาคส่วนที่สำคัญ เช่น การเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวในระยะยาว
3. พัฒนาทักษะและศักยภาพแรงงานไทย ส่งเสริมการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้เข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และอาจพิจารณาแรงจูงใจให้แรงงานไทยทำงานในภาคส่วนที่ขาดแคลนแรงงานต่างด้าว แม้จะเป็นงาน 3D
4. การจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ ทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า การบริหารจัดการ และการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปฏิเสธไม่รับแรงงานจากกัมพูชาไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายและจะมีผลกระทบในเชิงลบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย แรงงานกัมพูชาเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างแรงงานในภาคส่วนที่คนไทยไม่นิยมทำ การหาแรงงานทดแทนในจำนวนที่เพียงพอและมีทักษะเหมาะสมนั้นเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง การใช้ประเด็นแรงงานเป็นเครื่องมือทางการเมืองควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบในระยะยาว และไทยควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภาพรวม
ภาพจาก khmertimeskh.com, phnompenhpost.com และ Freepik