สำหรับคนทำงานส่วนใหญ่ที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาตลอดชีวิตการทำงาน เมื่อเดินทางมาถึงช่วงปลายของเส้นทางอาชีพ คำถามสำคัญที่ทุกคนต้องขบคิดคือ เงินชราภาพก้อนสุดท้ายในชีวิตที่เราสะสมมา จะเลือกรับเป็นเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียวที่เรียกว่า “บำเหน็จ” หรือจะเลือกรับเป็นเงินรายเดือนไปตลอดชีวิตที่เรียกว่า “บำนาญ”

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือกตัวเลข แต่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิต ความมั่นคงทางการเงิน และอิสรภาพในบั้นปลายของเราไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า

บทความชิ้นนี้จึงเปรียบเสมือนคู่มือที่จะพาผู้ประกันตนทุกท่านไปสำรวจและทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพอย่างละเอียดในทุกมิติ เจาะลึกตั้งแต่เงื่อนไขพื้นฐานที่ต้องรู้ วิธีการคำนวณตัวเลขที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของทั้งสองทางเลือกอย่างตรงไปตรงมา

พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลที่แต่ละคนควรนำมาพิจารณา และอัปเดตนโยบายล่าสุดจากภาครัฐที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณในอนาคต เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะสามารถเลือกเส้นทางที่ “ใช่” และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การเกษียณที่คุณวาดฝันไว้มากที่สุด

ทำความรู้จัก “บำเหน็จ” และ “บำนาญ”

ก่อนจะไปถึงการคำนวณที่ซับซ้อน สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนคือความแตกต่างพื้นฐานระหว่างเงินชราภาพทั้งสองรูปแบบ ซึ่งมีเงื่อนไขและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

บำเหน็จ: เงินก้อนโตครั้งเดียว…เพื่ออิสระที่ต้องวางแผน

“บำเหน็จชราภาพ” คือ เงินก้อนที่สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายให้แก่ผู้ประกันตนเพียงครั้งเดียว แล้วถือว่าสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพนั้นสิ้นสุดลง หัวใจสำคัญที่ใช้ตัดสินว่าใครจะได้รับสิทธิ์นี้คือ

ระยะเวลาในการส่งเงินสมทบ โดยผู้ที่จะได้รับบำเหน็จคือผู้ที่ ส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน หรือไม่ถึง 15 ปี

เงินบำเหน็จจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบประกันสังคมเป็นระยะเวลาไม่นาน หรือผู้ที่วางแผนเกษียณไว้แล้วและต้องการเงินก้อนใหญ่ไปบริหารจัดการด้วยตนเอง เช่น นำไปชำระหนี้สินก้อนโตอย่างหนี้บ้านหรือรถยนต์, ใช้เป็นเงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ หลังเกษียณ, หรือเก็บไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินก้อนใหญ่สำหรับครอบครัว

บำนาญ: กระแสเงินสดตลอดชีวิต…เพื่อความอุ่นใจระยะยาว

ในทางกลับกัน “บำนาญชราภาพ” คือ เงินที่ประกันสังคมจะทยอยจ่ายให้ผู้ประกันตนเป็นรายเดือนอย่างสม่ำเสมอ ไปจนตลอดชีวิต เงื่อนไขหลักในการรับสิทธิ์บำนาญคือ ผู้ประกันตนจะต้อง

ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 180 เดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป โดยไม่จำเป็นว่าระยะเวลา 180 เดือนนั้นจะต้องส่งติดต่อกันหรือไม่

เงินบำนาญจึงเป็นหลักประกันที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาอย่างยาวนาน และต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว หลักประกันนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีกระแสเงินสดหล่อเลี้ยงการใช้จ่ายในทุก ๆ เดือน ลดความเสี่ยงจากการบริหารเงินผิดพลาดหรือใช้เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตหมดไปก่อนเวลาอันควร

เงื่อนไขร่วมที่ต้องรู้

ไม่ว่าจะเข้าเกณฑ์รับบำเหน็จหรือบำนาญ มีเงื่อนไขร่วมสองข้อที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ทุกคนต้องปฏิบัติตาม นั่นคือ ต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงแล้ว

คำว่า “ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง” ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม ซึ่งหมายความว่าผู้ประกันตนจะต้องลาออกจากงาน หรือสิ้นสุดสถานะการเป็นลูกจ้างแล้ว จึงจะสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินชราภาพได้

เหตุผลเบื้องหลังเงื่อนไขนี้คือ หลักการของกองทุนประกันสังคมที่ออกแบบมาเพื่อเป็นเงินทดแทนรายได้ “หลัง” จากการทำงาน ไม่ใช่เงินเสริมระหว่างที่ยังทำงานและมีรายได้อยู่ ดังนั้น ระบบจึงกำหนดให้สิทธิประโยชน์นี้เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการจ้างงานและการส่งเงินสมทบภาคบังคับได้ยุติลงแล้วเท่านั้น

เจาะลึกวิธีคำนวณ: เงินในอนาคตของคุณมีเท่าไหร่ ?

เมื่อเข้าใจหลักการพื้นฐานแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคำนวณเพื่อประเมินจำนวนเงินที่เราจะได้รับ ซึ่งมีวิธีคิดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

สูตรคำนวณ “บำเหน็จ” แบบละเอียดยิบ

การคำนวณเงินบำเหน็จจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีตามระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ

  • กรณีที่ 1: ส่งเงินสมทบไม่ครบ 12 เดือนในกรณีนี้ ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับจำนวนเงินสมทบ เฉพาะในส่วนที่ตนเองจ่าย เข้ากองทุนเท่านั้น จะไม่ได้รับเงินในส่วนที่นายจ้างสมทบให้
    • ตัวอย่าง: นายสมชายทำงานเป็นเวลา 10 เดือน มีเงินเดือน 15,000 บาท เขาจะถูกหักเงินสมทบส่วนชราภาพ 3% ของเงินเดือน คือเดือนละ 450 บาท เมื่อครบ 10 เดือนแล้วลาออก เขาจะได้รับเงินบำเหน็จคืนเท่ากับ 450×10=4,500 บาท
  • กรณีที่ 2: ส่งเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือนกรณีนี้จะคุ้มค่ากว่ามาก เพราะผู้ประกันตนจะได้รับเงินคืน ครบทุกส่วน ทั้งเงินสมทบส่วนของตนเอง, เงินสมทบในส่วนที่นายจ้างจ่ายให้ และที่สำคัญคือ “ผลประโยชน์ตอบแทน” หรือกำไรที่สำนักงานประกันสังคมนำเงินของเราไปลงทุนและจัดสรรให้เป็นรายปี
    • ตัวอย่าง: นางสมศรีทำงานส่งเงินสมทบมา 12 ปี (144 เดือน) โดยมีฐานเงินเดือน 15,000 บาทตลอด เงินสมทบส่วนชราภาพที่เธอและนายจ้างช่วยกันส่งคือ 450+450=900 บาทต่อเดือน เงินต้นที่สะสมไว้คือ 900×144=129,600 บาท เมื่อเธออายุครบ 55 ปีและลาออก จะได้รับเงินก้อนนี้คืนทั้งหมด พร้อมบวกด้วยผลประโยชน์ตอบแทนที่สะสมมาตลอด 12 ปี ซึ่งอัตราผลตอบแทนจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศ

สูตรคำนวณ “บำนาญ” ที่ไม่ได้มีแค่ 20%: ยิ่งส่งนาน ยิ่งได้เพิ่ม

  • ฐานการคำนวณ: ระบบจะใช้ “ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย” ก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงเป็นฐานในการคำนวณ โดยปัจจุบันมีเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ใช้คำนวณอยู่ที่ 15,000 บาท หมายความว่าแม้เงินเดือนจริงจะสูงกว่านี้ ก็จะใช้ตัวเลข 15,000 บาทในการคำนวณ
  • กรณีฐาน: ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) พอดีหากส่งเงินสมทบครบ 15 ปีพอดี จะได้รับเงินบำนาญเป็นรายเดือนในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายไปตลอดชีวิต
    • ตัวอย่าง: หากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายของคุณคือ 15,000 บาท คุณจะได้รับเงินบำนาญเท่ากับ 15,000×20%=3,000 บาทต่อเดือน
  • กรณีส่งเกิน 180 เดือน: โบนัสสำหรับความภักดีนี่คือส่วนที่ทำให้เงินบำนาญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับ ทุกๆ 12 เดือน (1 ปี) ที่ส่งเงินสมทบเกินจาก 180 เดือนแรก จะได้รับอัตราบำนาญ บวกเพิ่มอีก 1.5%
    • ตัวอย่าง: หากคุณส่งเงินสมทบมาทั้งหมด 25 ปี จะเท่ากับส่งเกิน 15 ปีแรกมา 10 ปี อัตราบำนาญที่จะได้รับคือ 20%+(1.5%×10 ปี)=20%+15%=35%
    • ดังนั้น หากฐานเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายคือ 15,000 บาท เงินบำนาญที่จะได้รับต่อเดือนคือ 15,000×35%=5,250 บาท

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางประมาณการเงินบำนาญที่จะได้รับต่อเดือนตามระยะเวลาการส่งเงินสมทบ โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดที่ 15,000 บาท

ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ (ปี)อัตราร้อยละของค่าจ้างเฉลี่ยเงินบำนาญที่จะได้รับต่อเดือน (บาท)
15 ปี20.0%3,000
20 ปี27.5%4,125
25 ปี35.0%5,250
30 ปี42.5%6,375
35 ปี50.0%7,500

ข้อดี-ข้อเสียของ “บำเหน็จ”

  • ข้อดี: จุดเด่นที่สุดคือการได้รับ เงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว ซึ่งมอบความยืดหยุ่นและอิสระทางการเงินสูง ผู้รับสามารถนำเงินไปใช้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการปิดหนี้ก้อนโตเพื่อลดภาระดอกเบี้ย, การลงทุนต่อยอดในธุรกิจหรือสินทรัพย์ทางการเงิน, หรือใช้เป็นทุนการศึกษาให้บุตรหลาน
  • ข้อเสีย: ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือ การบริหารจัดการเงินผิดพลาด การมีเงินก้อนใหญ่อยู่ในมืออาจนำไปสู่การใช้จ่ายเกินตัว หรือลงทุนผิดพลาดจนเงินหมดไปอย่างรวดเร็ว หากไม่มีวินัยและความรู้ทางการเงินที่ดีพอ อาจทำให้ไม่มีเงินทุนเหลือใช้ในบั้นปลายของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ไม่สามารถกลับไปทำงานหาเงินได้อีกแล้ว

ข้อดี-ข้อเสียของ “บำนาญ”

  • ข้อดี: ประโยชน์สูงสุดคือการสร้าง ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การมีรายได้ที่แน่นอนเข้าบัญชีทุกเดือนช่วยให้วางแผนการใช้จ่ายได้ง่าย และเป็นหลักประกันว่าจะมีเงินใช้ไปจนกว่าจะเสียชีวิต ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้เงินเกินตัวและลดภาระที่ต้องพึ่งพาลูกหลานในยามชรา
  • ข้อเสีย: ข้อจำกัดที่ชัดเจนคือ การขาดสภาพคล่อง หรือไม่มีเงินก้อนใหญ่สำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินจำนวนมากกะทันหัน หรือพลาดโอกาสในการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนสูง

ตัวอย่าง ต้องรับบำนาญกี่ปีถึงจะแซงบำเหน็จ?

เพื่อให้เห็นความแตกต่างในเชิงมูลค่าอย่างเป็นรูปธรรม ลองพิจารณาสถานการณ์ที่เส้นแบ่งพอดีระหว่างบำเหน็จกับบำนาญ ซึ่งก็คือการส่งเงินสมทบที่ 179 เดือน เทียบกับ 180 เดือน

  • นาย ก. ส่งเงินสมทบ 179 เดือน (14 ปี 11 เดือน) ที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาทตลอด เขาจะได้รับ “บำเหน็จ” เงินสมทบรวมจากนาย ก. และนายจ้างคือ 900×179=161,100 บาท (ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทน)
  • นาย ข. ส่งเงินสมทบเพิ่มอีกเพียง 1 เดือน เป็น 180 เดือน (15 ปี) เขาจะได้รับ “บำนาญ” เดือนละ 3,000 บาท

จุดคุ้มทุนที่นาย ข. จะได้รับเงินรวมเท่ากับเงินบำเหน็จของนาย ก. คือ 161,100÷3,000=53.7 เดือน หรือประมาณ 4 ปี 6 เดือน หลังจากนั้นเป็นต้นไป ทุกบาททุกสตางค์ที่นาย ข. ได้รับคือ “กำไร” ตลอดชีวิต

การส่งเงินสมทบเพิ่มเพียงเดือนเดียวได้เปลี่ยนผลประโยชน์จากเงินก้อนที่มีจำกัดไปสู่กระแสเงินสดที่อาจไม่มีที่สิ้นสุด แสดงให้เห็นว่าสำหรับผู้ที่มีอายุขัยเฉลี่ยหรือยืนยาวกว่านั้น การรับบำนาญมีมูลค่ารวมที่สูงกว่าอย่างมหาศาล

กับดัก ม.39: ทำไมการส่งประกันตนเองช่วงท้ายอาจทำให้เงินบำนาญหายวับ?

นี่คือข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกันตนที่ใกล้เกษียณหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน มีสถานการณ์ที่พบบ่อยคือ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ทำงานมานานและมีเงินเดือนสูง เกิดถูกเลิกจ้างหรือลาออกในช่วงไม่กี่ปีสุดท้ายก่อนอายุครบ 55 ปี และตัดสินใจสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ต่อเนื่องไปเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล

การกระทำที่ดูเหมือนจะเป็นผลดีนี้กลับสร้างผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเงินบำนาญอย่างไม่คาดคิด เนื่องจากสูตรคำนวณบำนาญใช้ฐาน “ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย” แต่ฐานค่าจ้างของมาตรา 39 ถูกกำหนดไว้ตายตัวที่ 4,800 บาท ในขณะที่ฐานสูงสุดของมาตรา 33 คือ 15,000 บาท

การที่ฐานค่าจ้าง 4,800 บาท ถูกนำมาคิดเฉลี่ยรวมกับฐาน 15,000 บาทในช่วง 5 ปีสุดท้าย จะทำให้ค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมหาศาล ผลลัพธ์คือเงินบำนาญที่ควรจะได้รับเดือนละหลายพันบาท อาจลดลงเหลือเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น นี่คือ “กับดัก” ที่เกิดจากความตั้งใจดี แต่ส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวอย่างรุนแรง

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวว่าระหว่างบำเหน็จกับบำนาญ อะไรดีกว่ากัน คำตอบที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ทั้งสุขภาพ อายุขัยที่คาดหวัง ภาระหนี้สิน วินัยทางการเงิน และเป้าหมายในชีวิตหลังเกษียณ โดยอาจสรุปได้ว่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ ขอแนะนำให้ผู้ประกันตนทุกท่านสละเวลาตรวจสอบข้อมูลเงินสมทบสะสมของตนเองผ่านช่องทางต่างๆ ของสำนักงานประกันสังคม เช่น เว็บไซต์ www.sso.go.th หรือแอปพลิเคชัน SSO Plus การทำความเข้าใจสถานะและสิทธิประโยชน์ของตนเองอย่างถ่องแท้ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการวางแผนและตัดสินใจ เพื่อสร้างอนาคตหลังเกษียณที่มั่นคงและเปี่ยมสุขตามแบบฉบับของคุณเอง