เคยคิดกันไหมว่าสกุลเงินดิจิทัลเขาโอนผ่านกันยังไงให้ปลอดภัย ?
สกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ล้วนต้องใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกรรม เพื่อเป็นการยืนยันความถูกต้อง หรือ Validate การทำธุรกรรม และสิ่งนั้นก็คือ บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลหรือ โครงสร้างข้อมูล (Data structure) ที่ส่งผ่านกันเป็นเครือข่ายผ่านการเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ ทำให้ยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล มาดูกันว่าบล็อกเชนคืออะไรในฉบับเข้าใจง่าย อ่านเร็ว ๆ เพียง 4 นาที
Centralized vs Decentralized : เข้าใจทั้ง 2 คำก่อนเริ่มรู้จักบล็อกเชน
ก่อนทำความเข้าใจเรื่องบล็อกเชน เราต้องเข้าใจก่อนว่ารูปแบบของ Centralized และ Decentralized คืออะไร เพราะทั้ง 2 คำนี้คือพื้นฐานของการทำธุรกรรม
- Centralized = การทำธุรกรรมแบบมีตัวกลาง ง่าย ๆ เลยให้นึกถึงเวลาที่เราโอนเงินเข้าบัญชีใครสักคน ก่อนที่เงินจะไปถึงอีกคนต้องผ่านตัวกลางก่อน และตัวกลางก็คือ ‘ธนาคาร’ ซึ่งถือมีอำนาจเพียงผู้เดียว ข้อมูลการโอนก็จะกระจุกอยู่กับธนาคาร หมายความว่าถ้าตัวกลางล้มเหลว หรือถูกโจมตี ข้อมูลจะตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงสูง
- Decentralized = การทำธุรกรรมแบบไร้ตัวกลาง บล็อกเชนจะใช้ระบบนี้ เป็นการทำธุรกรรมแบบไร้ตัวกลาง ซึ่งมีขั้นตอนการยืนยันที่มากกว่าหนึ่งแห่ง พูดง่าย ๆ คือแทนที่จะมีคนกลางอย่างธนาคารมาคอยอนุมัติและบันทึกธุรกรรมเพียงคนเดียว ระบบนี้จะใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากในเครือข่าย หรือที่เรียกว่า โหนด (Nodes) มาทำหน้าที่นี้ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะโอนสกุลเงินให้ใครสักคน ข้อมูลเกี่ยวกับการโอนตรงนั้นมันจะถูกคัดลอกและจัดเก็บแบบกระจายศูนย์ กระจายอยู่หลายที่ ดังนั้น Decentralized เลยปลอดภัยและมั่นคงกว่าการรวมอำนาจไว้แค่ที่เดียว เพราะหากต้องการแฮกก็ต้องแฮกหลาย ๆ โหนดพร้อมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก
คริปโทเคอร์เรนซี : สกุลเงินที่ใช้บล็อกเชน
‘คริปโทเคอร์เรนซี’ (Cryptocurrency) คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกออกแบบควบคู่มาให้ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยใช้ประโยชน์จากความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบ อย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin) และ อีเธอเรียม (Ethereum) ซึ่งทำให้เกิดอีกหลาย ๆ สกุลเงินดิจิทัลตามมา
ตัวอย่างการทำงานของบิตคอยน์บนบล็อกเชน
สำหรับขั้นตอนการทำธุรกรรมผ่านบล็อกเชน จะลองยกตัวอย่างการทำธุรกรรมของบิตคอยน์ ก่อนจะทำธุรกรรมผู้ใช้งานทุกคนจะมี ‘กุญแจ’ สำคัญ 2 อัน คือ
- Public Key : อันนี้เป็นข้อมูลที่ทุกคนในเครือข่ายเห็น คล้ายกับที่อยู่ (Address) สำหรับรับบิตคอยน์ หรือเรียกว่า ‘Bitcoin Address’
- Private Key : ส่วนนี้คือข้อมูลที่มีแค่ผู้ใช้คนเดียวรู้ ไม่มีใครรับรู้ด้วย คล้าย ๆ รหัสผ่าน ใช้ในการลงลายเซ็นดิจิทัล บนธุรกรรมเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ ทำให้ผู้ที่มี Private Key เท่านั้นจึงจะสามารถ ‘ใช้จ่าย’ หรือโอนบิตคอยน์ได้
สมมติสถานการณ์คือ นาง A ต้องการส่งบิตคอยน์ไปให้นาง B จะแบ่งเป็น 4 สเต็ป คือ
- การสร้างธุรกรรม สมมติว่าจะทำธุรกรรม นาง A จะต้องระบุข้อมูลที่ต้องการส่ง เช่น [โอน 1 BTC ไปยัง Public Key ของนาง B] พร้อมลงลายเซ็นของตนเองในการสร้างลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อเป็นการลงนามในธุรกรรมนั้น (การใช้ Private Key คือการสร้างลายเซ็น เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่การเข้ารหัส (Encryption) และลายเซ็นนี้จะพิสูจน์ได้ว่าธุรกรรมนี้ถูกสร้างโดยเจ้าของ Private Key จริง ๆ และไม่มีใครแก้ไขได้)
- การเผยแพร่และการตรวจสอบธุรกรรมที่ลงลายเซ็นแล้วจะถูกส่งไปยังโหนดต่าง ๆ ทั่วทั้งเครือข่าย Bitcoin โหนดอื่น ๆ จะทำการตรวจสอบทันทีว่าลายเซ็นดิจิทัลของนาง A นั้นถูกต้องหรือไม่ โดยใช้ Public Key ของนาง A (ที่เปิดเผยอยู่แล้ว) หากลายเซ็นถูกต้องและนาง A มีเงินเพียงพอธุรกรรมนี้จะถูกส่งไปเข้าคิวรอการรวมในบล็อกต่อไป
- การขุด (Mining) และการบรรจุบล็อกการขุดคือกระบวนการยืนยันและผนึกธุรกรรมเข้าสู่บล็อกเชนอย่างถาวร โดยจะมี นักขุด (Miners) หรือผู้ใช้งานทั่วโลกที่อยู่ในเครือข่ายเพื่อรวบรวมธุรกรรมที่รอการยืนยัน (รวมถึงธุรกรรมของนาง A) เข้าไว้ในกลุ่มที่เรียกว่าบล็อก (Block) นักขุดจะแข่งขันกันแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน (เรียกว่าการหา Proof-of-Work) ซึ่งต้องใช้พลังงานคอมพิวเตอร์มหาศาลนักขุดคนแรกที่แก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ จะส่งบล็อกของตนเองไปทั่วเครือข่าย โหนดอื่น ๆ ตรวจสอบว่าบล็อกนี้ถูกต้องหรือไม่ (รวมถึงการตรวจสอบว่าธุรกรรมทั้งหมดในบล็อกนั้นถูกต้องและมีลายเซ็นถูกต้อง) เมื่อได้รับการยอมรับบล็อกนี้จะถูกนำไปลิงก์กันเรื่อย ๆ เป็น ‘บล็อกเชน’ อย่างถาวร
- เมื่อการยืนยันเสร็จสมบูรณ์แล้ว ธุรกรรมของนาง A จะถูกบรรจุอยู่ในบล็อกที่ถูกต้องและเพิ่มเข้าสู่บล็อกเชนได้สำเร็จ ถือว่าธุรกรรมนั้นได้รับการยืนยันแล้ว นักขุดที่หาบล็อกนี้เจอจะได้รับผลตอบแทนเป็น Bitcoin ใหม่ (Block Reward) และค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่นาง A จ่ายมาและแน่นอนว่า Bitcoin จะถูกโอนจาก Public Key ของนาง A ไปยัง Public Key ของนาง B โดยสมบูรณ์ ทำให้นาง B สามารถใช้ Private Key ของตนเองเพื่อใช้จ่าย Bitcoin จำนวนนี้ได้ต่อไป
สรุปแล้วบล็อกเชนปลอดภัยที่สุดจริงไหม ?
ในส่วนของคำถามที่ว่า บล็อกเชนคือเครือข่ายที่ปลอดภัยที่สุดในโลกจริงไหมนั้น บล็อกเชนถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรักษาข้อมูลของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับการกระจายศูนย์และการเข้ารหัสทำให้การปลอมแปลงหรือล้มระบบทำได้ยากมากในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของบล็อกเชนไม่ได้แปลว่าปลอดภัยสมบูรณ์แบบ 100% เพราะบล็อกเชนยังอาจมีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเทคโนโลยีบล็อกเชนโดยตรง เช่น ความผิดพลาดในการดูแล Private Key ของผู้ใช้เอง, การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน (Smart Contracts) หรือการโจมตีแบบ 51% Attack ในเครือข่ายที่มีขนาดเล็กซึ่งเป็นความพยายามรวมอำนาจการขุดเกินครึ่งหนึ่งของเครือข่ายเพื่อควบคุมการทำธุรกรรม
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่ให้ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในระดับสูงมาก เมื่อเทียบกับระบบแบบมีตัวกลางแบบดั้งเดิม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงทางเทคนิคและทางมนุษย์อยู่บ้าง