กระแสร้อนแรงที่สุดนาทีนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้คือเรื่องของ “แก๊งสแกมเมอร์” ที่กำลังสั่นสะเทือนไปทุกวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงการเมืองไทย เมื่อมีกระแสข่าวลือที่พุ่งเป้าไปยังรัฐมนตรีรายหนึ่ง ว่าอาจมีส่วนพัวพันอยู่เบื้องหลังขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์เหล่านี้ และได้มีการใช้มูลนิธิชื่อดัง เป็นฉากหน้าในการอำพรางและฟอกเงินผิดกฎหมาย ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไรต้องรอหลักฐานปรากฏ

ประเด็นที่ถูกจุดชนวนขึ้นมา คือการเปิดเผยรายละเอียดการจัดตั้งและข้อบังคับของมูลนิธิที่ว่านี้ ซึ่งมีใจความสำคัญอันน่าเคลือบแคลงระบุว่า “หากมูลนิธิสิ้นสุดลง ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของมูลนิธิอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรัฐมนตรีคนดังกล่าวเป็นเจ้าของ” เงื่อนงำนี้เองที่กลายเป็นชนวนสำคัญในการเปิดประเด็นการฟอกเงินผ่านมูลนิธิ และนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความบริสุทธิ์ของเงินบริจาค และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการคอร์รัปชันทั้งสิ้น
นับเป็นกรณีที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เคยมีการกล่าวถึงการฟอกเงินในวงการสงฆ์ผ่านมูลนิธิของวัดมาแล้ว
คำถามสำคัญคือการฟอกเงินผ่านมูลนิธิที่มี “ฮีโร” หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือสาธารณะ สามารถทำได้อย่างไร ผ่านวิธีใด และเหตุใดประชาชนจึงยังคงหลงเชื่อและบริจาคเงินให้โดยไม่เอะใจ ? เราจะมาแบไต๋กลไกเบื้องหลังในบทความนี้

มูลนิธิจากเจตนาอันบริสุทธิ์สู่ช่องโหว่ทางกฎหมาย ?
โดยพื้นฐานแล้ว มูลนิธิถูกก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อันหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การกุศล สาธารณประโยชน์ หรือการให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ และแน่นอนว่าหนึ่งในช่องทางการดำเนินงานหลักคือการเปิดรับบริจาคจากสาธารณชน
ถ้าการบริจาคเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจและเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง การดำเนินงานทางการเงินของมูลนิธิย่อมต้องมีบัญชีเงินที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมายบัญชีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
กลไกการฟอกเงินผ่าน “มูลนิธิ” เป็นฉากบังหน้าของ “บัญชีม้า” ?
การใช้มูลนิธิในการฟอกเงิน มักจะใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือในภาพลักษณ์ของการทำความดีและการกุศล ซึ่งสามารถอำพรางที่มาของเงินที่ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น สแกมเมอร์, พนันออนไลน์, ยาเสพติด หรือการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างแนบเนียน โดยมีกลไกที่เป็นไปได้หลายวิธีตามหลักการฟอกเงิน 3 ขั้นตอน คือ
- การเปลี่ยนเงินสกปรกเป็นเงินบริจาค
กลุ่มผู้กระทำความผิดจะนำเงินที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น เงินจากแก๊งคอลเซนเตอร์ แล้วถูกโอนเข้าสู่บัญชีของมูลนิธิในรูปแบบของ “เงินบริจาค” ในจำนวนที่อาจจะสูงผิดปกติ หรืออาจแยกเป็นหลายรายการเล็ก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การอำพรางเส้นทางเงิน
มูลนิธิจะดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรับบริจาคและใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้ แต่การใช้จ่ายนั้นอาจมีการปั่นตัวเลขหรือสร้างโครงการปลอมเพื่อนำเงินที่บริจาคเข้ามาวนออกไปสู่บัญชีอื่นที่เชื่อมโยงกับผู้กระทำความผิด
การทำธุรกรรมข้ามประเทศ หรือการโอนเงินไปมาระหว่างมูลนิธิในเครือข่าย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการซ่อนที่มาของเงิน
- การรวมเงินกลับเข้าสู่ระบบ จากเงินเทาสู่เงินสะอาด
เงินที่ฟอกเสร็จสิ้นแล้วจะถูกนำกลับมาใช้โดยผู้กระทำความผิดในรูปแบบที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น การจ่ายเงินเดือนที่สูงผิดปกติ การซื้อทรัพย์สินในนามมูลนิธิ หรือตามประเด็นร้อนที่กล่าวถึง คือการกำหนดเงื่อนไขให้ “ทรัพย์สินที่เหลืออยู่เมื่อมูลนิธิสิ้นสุดลง จะตกเป็นของมูลนิธิส่วนตัวที่ตนเป็นเจ้าของ” ซึ่งเป็นช่องทางชั้นยอดในการดึงเงินที่ถูกทำให้สะอาดกลับไปสู่กระเป๋าของตนเองอย่างถูกกฎหมายภายใต้ฉากหน้าของข้อบังคับมูลนิธิ

เหตุใดผู้คนจึงยังหลงเชื่อ ?
ลองสังเกตดูหลายเคส อย่างกรณีของวัดพระบาทน้ำพุที่เป็นข่าวยักยอกและฟอกเงินก่อนหน้านี้ หรือมูลนิธิช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงิน มักจะใช้ภาพลักษณ์ของฮีโร หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ทำงานช่วยเหลือสังคมมาเป็นเครื่องมือดึงดูดความไว้วางใจ ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปยินดีที่จะบริจาคเงินให้ด้วยความศรัทธาและความเชื่อมั่นในความดีของผู้ก่อตั้ง โดยไม่ได้สนใจหรือมีโอกาสตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินทุนทั้งหมดที่ไหลเวียนอยู่ในองค์กรอย่างละเอียด
“คนไทยใจดี” ประโยคนี้ไม่เกินจริง และนั่นก็กลายเป็นช่องโหว่สำคัญเช่นกันที่กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกอาชญากรนำมาใช้ประโยชน์ในการอำพรางเส้นทางการเงินสีเทาได้อย่างง่ายดายและเพิ่มสถิติการฟอกเงินให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
อ้างอิงสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติระบุว่า ปริมาณการฟอกเงินทั่วโลกในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 2-5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าระหว่าง 8 แสนล้าน ถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้ว่าการฟอกเงินจะมีลักษณะที่เป็นความลับ ทำให้ยากที่จะระบุตัวเลขที่แน่ชัดว่ามีการฟอกเงินเท่าใดในแต่ละปี และแน่นอนว่ามันจะเป็นตัวเลขมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ
ฉะนั้นการตรวจสอบความโปร่งใสของมูลนิธิจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เงินบริจาคอันบริสุทธิ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอาชญากรรมขนาดใหญ่ต่อไปได้ แม้จะต้องฝ่าด่านประชาชนที่ศรัทธาและมอบความเชื่อมั่นให้กับบุคคลนั้นจนกลายเป็นพลังอำนาจที่ไปปกป้องคนที่กระทำความผิดก็ตาม เพราะนอกจากการเปิดโปงแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมาคือการไม่หลงกลเป็นเครื่องมือของอาชญากรรมใด ๆ อีก
สุดท้ายนี้เพื่อไม่ให้กลายเป็นวงจรอุบาทว์ของการวนลูปผ่านอาชญากรรมที่ใช้มูลนิธิบังหน้า ประชาชนทุกคนควรตั้งคำถามถึงการมีอยู่ขององค์กรช่วยเหลือต่าง ๆ ยิ่งเมื่อมีการเปิดรับบริจาคต้องใช้สติไตร่ตรองอย่างละเอียด ว่าเงินที่บริจาคไปจะถูกนำไปช่วยเหลือจริง ๆ หรือเป็นเพียงการโอนผ่านบัญชีม้าที่ใช้ในการฟอกเงินเท่านั้น