ในยุคที่โลกกำลังหันหน้าเข้าสู่พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และบรรดาเทคโนโลยีสุดล้ำเหล่านี้ต้องพึ่งพาแร่บางชนิดที่กำลังเป็นที่ต้องการ ส่งผลให้แร่หายาก หรือ Rare Earth Elements กลายเป็นวัตถุดิบที่ทั่วโลกแย่งกันอย่างดุเดือด
เพราะมันคือหัวใจของเครื่องยนต์รถ EV, กังหันลม, ชิปคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงระบบอาวุธของประเทศมหาอำนาจ พูดได้ว่า ถ้าไม่มีแร่เหล่านี้ โลกก็แทบจะขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เลย
ซึ่งถึงจะชื่อว่า “แร่หายาก” แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้หายากนัก สิ่งที่ยากคือการ “สกัดให้บริสุทธิ์” และการแปรรูปให้ใช้ได้ในอุตสาหกรรม ซึ่งจีนคือประเทศที่มีความสามารถด้านนี้สูงสุดในโลก ปัจจุบันจีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานแร่หายากมากกว่า 70%
นั่นทำให้จีนมี “อำนาจต่อรอง” มหาศาลในสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ เพราะเมื่อใดที่จีนจำกัดการส่งออก แทบทุกอุตสาหกรรมในโลกจะสะเทือนทันที ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์ หรือกังหันลมผลิตไฟฟ้า
สหรัฐฯ จึงพยายามเร่งกระจายความเสี่ยง โดยสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งจีนเพียงรายเดียว หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย ที่เพิ่งลงนาม MOU ร่วมกับสหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายากในวันที่ 27 ตุลาคม ปี 2568
ความต้องการทั่วโลกพุ่งแรง ดันให้ราคาผันผวน
ตลาดแร่หายากทั่วโลกเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่าราว 6,400 ล้านเหรียญ และคาดว่าจะโตถึงกว่า 11,000 ล้านเหรียญภายในปี 2030 เพราะอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต้องใช้แร่เหล่านี้ในทุกขั้นตอน
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน ใช้แร่หายากราว 10 กิโลกรัม, กังหันลมขนาดใหญ่ 1 ตัว ใช้แร่เหล่านี้มากถึง 200 กิโลกรัม
โดยเฉพาะธาตุ Neodymium (นีโอดิเมียม) และ Praseodymium (พราซีโอดิเมียม) ที่ใช้ทำแม่เหล็กถาวร วัตถุที่สร้างและคงสภาพสนามแม่เหล็กของตัวเองไว้ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในมอเตอร์ไฟฟ้า
เมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออกบางชนิด ความต้องการของสองธาตุนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทันที นักลงทุนทั่วโลกจึงมองว่า บริษัทที่ผลิตแร่เหล่านี้ได้นอกจีน เช่น Lynas Rare Earths จากออสเตรเลีย จะได้เปรียบอย่างมากในอนาคต
ปี 2025 ราคาของแร่หายากพุ่งขึ้นแรง โดยเฉพาะ Praseodymium ที่ราคาขยับขึ้นเกือบ 50% ภายในไม่กี่เดือน ส่วน Neodymium ก็เคยพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี
เหตุผลไม่ได้มาจากความขาดแคลนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการเมืองโลกโดยตรง เช่น การตอบโต้กันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในสงครามการค้า นักลงทุนที่เข้าใจเกมนี้จึงไม่ได้เทขายหนี แต่ใช้จังหวะราคาตกเป็นโอกาสเก็บของดีราคาถูก เพื่อรอรอบฟื้นตัวในอนาคต
แล้วคนทั่วไปลงทุนในแร่หายากได้ไหม?
คำตอบคือ “ได้แน่นอน” เพราะทุกวันนี้เราสามารถลงทุนในธีมแร่หายากได้หลายวิธี โดยไม่ต้องมีเหมืองหรือขุดแร่เองเหมือนในหนัง นับว่าเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมากในยุคที่ตลาดการเงินเปิดกว้างทั่วโลก
1. กองทุนรวมในไทย: ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป ทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัยที่สุดคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ในประเทศไทย ที่มีนโยบายลงทุนต่อในกองทุนต่างประเทศซึ่งเน้นธุรกิจเกี่ยวกับแร่หายากโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดทิสโก้ Rare Earth & Strategic Metals (TRAREEARTH)
กองทุนนี้กระจายการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตแร่หายากทั่วโลก ตั้งแต่เหมืองต้นน้ำ บริษัทกลั่นแร่ โรงงานผลิตแม่เหล็ก จนถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ใช้แร่เหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์พลังงานสะอาด จุดเด่นคือ
- ใช้เงินเริ่มต้นไม่สูง (หลักพันบาทก็เริ่มได้)
- มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารและกระจายความเสี่ยงให้
- นักลงทุนไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นรายตัวเอง
พูดง่าย ๆ คือเหมาะกับคนที่อยาก “ลงทุนตามเทรนด์ใหญ่ของโลก” โดยไม่ต้องมานั่งคัดหุ้นหรือกังวลเรื่องความผันผวนในแต่ละวัน
2. กองทุน ETF ต่างประเทศ: กระจายความเสี่ยงทั่วโลกในพอร์ตเดียว อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนผ่าน “ETF” หรือกองทุนที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่เปิดพอร์ตต่างประเทศไว้แล้ว
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ VanEck Rare Earth & Strategic Metals ETF (REMX) ซึ่งเป็นกองทุนที่รวมบริษัทเหมืองและผู้ผลิตแร่หายากจากหลายประเทศไว้ด้วยกัน เช่น จีน ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐฯ
จุดเด่นของ REMX คือสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ทันทีโดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวเอง และยังสามารถซื้อขายได้ทุกวันเหมือนหุ้นทั่วไป เหมาะกับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง และอยากบริหารจังหวะซื้อขายด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ควรเข้าใจว่ากองทุน REMX ยังมีสัดส่วนการลงทุนในบริษัทจีนค่อนข้างมาก เพราะจีนยังครองห่วงโซ่การแปรรูปแร่หายากเกือบทั้งหมดของโลก ดังนั้นแม้จะลงทุนใน ETF ระดับโลก ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของจีนได้โดยสิ้นเชิง
3. หุ้นรายตัว: ทางเลือกของนักลงทุนสายลึก สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศ ติดตามข่าวอุตสาหกรรมได้ดี และรับความเสี่ยงได้สูง การเลือกลงทุนใน “หุ้นรายตัว” ก็เป็นอีกช่องทางที่ให้โอกาสผลตอบแทนมากกว่า
ตัวอย่างเช่น
- Lynas Rare Earths (ออสเตรเลีย) ผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดนอกจีน มีโรงงานแปรรูปและเหมืองของตัวเองครบวงจร จุดแข็งคือการดำเนินงานที่ได้มาตรฐาน ESG สูง และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย
- MP Materials (สหรัฐฯ) เจ้าของเหมือง Mountain Pass ซึ่งเป็นเหมืองแร่หายากหลักในสหรัฐฯ และมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดในประเทศให้ครบวงจร เพื่อพึ่งพาจีนน้อยลง
หุ้นกลุ่มนี้มีความผันผวนสูง ราคาขึ้นลงแรงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และข่าวภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีศักยภาพให้ผลตอบแทนระยะยาวมาก หากโลกยังเดินหน้าสู่ยุคพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ไม่ว่าทางเลือกไหน การลงทุนในแร่หายากคือการลงทุนใน “โครงสร้างของอนาคต” ที่จะอยู่เบื้องหลังทุกเทคโนโลยีใหญ่ของศตวรรษหน้า ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก
เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า ตลาดนี้ผันผวนเร็วและมีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ การลงทุนอย่างมีความรู้และวางแผนระยะยาว จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นกำไรอย่างมั่นคงครับ
ข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนลงทุน
ข้อดี
1. ตามเทรนด์โลกอนาคต แร่หายากเป็นวัตถุดิบหลักของเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เช่น รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และชิปคอมพิวเตอร์ ทำให้ความต้องการพุ่งต่อเนื่องในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
2. อุปทานจำกัด ผู้ผลิตมีอำนาจต่อรองสูง การสกัดและกลั่นแร่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนและต้นทุนสูง ทำให้มีผู้เล่นในตลาดน้อย รายใหญ่จึงสามารถกำหนดราคาหรือควบคุมปริมาณการผลิตได้ในบางช่วงเวลา
3. โอกาสกระจายพอร์ตลงทุนระยะยาว สินทรัพย์กลุ่มนี้ไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นหรือทองคำทั่วไป จึงช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้
ข้อเสีย
1. ราคาผันผวนสูงจากการเมืองโลก แร่หายากมักได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าและนโยบายของประเทศมหาอำนาจ ทำให้ราคาขึ้นลงแรงในระยะสั้นจนบางครั้งคาดเดายาก
2. ต้นทุนสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงทางกฎหมายสูง กระบวนการขุดและสกัดแร่สร้างของเสียอันตรายและกากกัมมันตรังสี บริษัทที่ไม่จัดการดีอาจถูกปรับ ถูกฟ้อง หรือถูกระงับการผลิตได้ทันที
3. ความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเป็นหลัก แม้หลายประเทศพยายามกระจายแหล่งผลิต แต่จีนยังครองสัดส่วนการแปรรูปกว่า 70% หากจีนใช้มาตรการควบคุมส่งออกอีกครั้ง ก็อาจกระทบทั้งราคาตลาดและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
การลงทุนใน Rare Earth เป็นแนวทางแบบ “เสี่ยงสูงแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง” เหมาะกับคนที่เข้าใจความผันผวนและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ESG เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญ
แม้แร่หายากจะช่วยให้เราผลิตเทคโนโลยีสีเขียว แต่กระบวนการผลิตกลับสร้างมลพิษสูงมาก แร่ 1 ตันอาจก่อให้เกิดของเสียกว่า 2,000 ตัน โดยเฉพาะกากกัมมันตรังสีอย่างธาตุทอเรียม
ประเทศต่าง ๆ จึงเริ่มเข้มงวดกับการตรวจสอบมาตรฐาน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) บริษัทที่ไม่ผ่านอาจขายของยากขึ้น เพราะผู้ผลิต EV และเทคโนโลยีในยุโรป-อเมริกา ต้องการซื้อเฉพาะแร่ที่ผลิตอย่างยั่งยืนและตรวจสอบได้
ดังนั้น บริษัทที่รักษามาตรฐาน ESG สูงจะได้เปรียบในระยะยาว และเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนควรโฟกัส
ไทยกับโอกาสในสนาม Rare Earth
ประเทศไทยเพิ่มปริมาณการผลิตแร่หายากกว่า 260% ในปีเดียว และกำลังถูกจับตามองว่าจะกลายเป็น “ฐานการแปรรูป” แร่หายากแห่งใหม่ของเอเชีย
การลงนาม MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในปี 2568 จึงถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเปิดประตูให้ไทยเข้าสู่ห่วงโซ่เทคโนโลยีระดับโลก แต่ก็มีเสียงเตือนว่าควรระวังผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่ใกล้แหล่งเหมืองในเมียนมา
สำหรับนักลงทุนไทย ทางเลือกที่น่าสนใจคือการ “ลงทุนทางอ้อม” เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาด (GULF, BGRIM) หรือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) ที่จะได้รับอานิสงส์จากการตั้งโรงงานผลิตเทคโนโลยีที่ใช้แร่หายาก
แร่หายากคือ “ขุมทรัพย์แห่งอนาคต” ที่กำลังอยู่ในศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงพลังงานและเทคโนโลยีระดับโลก แต่มันไม่ใช่ของวิเศษที่ทำกำไรได้ง่าย เพราะเบื้องหลังเต็มไปด้วยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
นักลงทุนที่อยากเข้ามาในสนามนี้ ต้องเข้าใจภาพใหญ่ของโลก ไม่ใช่แค่ดูราคาขึ้นหรือลงวันต่อวัน การเลือกลงทุนในกองทุนหรือบริษัทที่มีมาตรฐานสูงและคำนึงถึงความยั่งยืน จะช่วยให้เกาะคลื่นเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง