เคยคิดไหมบางทีเรานั่งทำงานอยู่ แต่อยากใส่ใจว่าทำไม พี่คนนั้นงานยุ่งจัง แต่อยู่ดี ๆ ก็ลาออก แล้วบอกว่าอยากไปเจออะไรใหม่ ๆ เพราะรู้สึกว่าภายในบริษัทเริ่มมีความครุกรุ่น ทุกคนดูทำงานหนัก และดูเหมือนมีคนจับจ้อง เลยต้องแกล้งทำเป็นยุ่ง ทั้งที่จริง ๆ แล้วแทบไม่ได้ทำงาน หรือบางครั้งก็ใช้เวลานั้นในการหางานใหม่เสียด้วยซ้ำ เทรนด์นี้เรียกว่า “Ghostworking” นั่นเองค่ะ
แม้จะไม่ใช่พฤติกรรมใหม่แต่ Ghostworking กำลังสะท้อนปัญหาใหญ่ในความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในยุคปัจจุบัน
ผลสำรวจชี้ ! พนักงานอเมริกันกว่า 90% เคยหางานใหม่ในเวลางาน
ผลสำรวจจาก Resume Now พบว่า 92% ของพนักงานยอมรับว่าเคยหางานใหม่ระหว่างเวลางาน โดยในจำนวนนี้ 55% บอกว่า “ทำเป็นประจำ” ขณะที่อีก 37% บอกว่า “เคยทำบ้างเป็นบางครั้ง”
วิธีที่ใช้กันบ่อยได้แก่
- ปรับเรซูเม่ (24%)
- สมัครงานโดยใช้คอมพิวเตอร์บริษัท (23%)
- รับโทรศัพท์จากนายหน้าหางานระหว่างทำงาน (20%)
- แอบออกไปสัมภาษณ์ในช่วงเวลางาน (19%)
ไม่ใช่แค่แกล้งทำงาน แต่เป็นเกมจิตวิทยาระหว่างพนักงานกับบริษัท
Ghostworking อาจดูคล้ายกับแนวคิดในอดีต อย่าง “Quiet Quitting” ที่โบกมือลางานหนัก หรือ “Productivity Theater” ที่ผลงานไม่มีแต่ดูเหมือนทำงานหนัก แต่ใน Ghostworking คนทำงานไม่เพียงแค่แกล้งทำเป็นยุ่ง แต่ยังใช้เวลางานเพื่อมองหางานใหม่จริงจัง
เบื้องหลังพฤติกรรมนี้ คือการตอบโต้เงียบ ๆ ต่อการควบคุมขององค์กร ทั้งการใช้ระบบติดตามพฤติกรรม การลดตำแหน่งแบบไม่บอก (Quiet Cutting) และการสร้างวัฒนธรรมที่วัดคุณค่าจาก “ความดูยุ่ง” มากกว่าผลงานจริง
ตัวอย่างพฤติกรรม Ghostworking ที่พบบ่อย พนักงานบางคนใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพว่ากำลังทำงาน เช่น
- ขยับเมาส์เรื่อย ๆ เพื่อให้ระบบคิดว่ายังทำงานอยู่ (Mouse Jiggling)
- แวะมาออฟฟิศแค่แตะบัตรแล้วหายไป (Coffee Badging)
- แอบเที่ยวในวันทำงาน โดยเฉพาะคนที่ทำงานจากบ้าน (Quiet Vacationing)
- เดินถือสมุดรอบออฟฟิศ, พิมพ์ข้อความไร้สาระ, เปิดสเปรดชีตแต่ท่องเว็บ หรือแม้กระทั่งนัดประชุมปลอม
ผลสำรวจพบว่า 58% ของพนักงานแกล้งทำงานอยู่เป็นประจำ และอีก 34% เคยทำบ้างเป็นบางครั้ง โดยเหตุผลหลักคือ “ความกดดัน” ที่ต้องแสดงออกว่า “กำลังทำงานตลอดเวลา” โดยเฉพาะคนทำงานทางไกลที่ไม่มีใครเห็นหน้าตลอดวัน
พนักงานหมดไฟ ขาดแรงจูงใจ รู้สึกว่าบริษัทไม่เห็นคุณค่า ?
Keith Spencer ผู้เชี่ยวชาญด้านสายงานอาชีพ ชี้ว่า Ghostworking เป็นผลจากภาวะหมดไฟและการขาดการสื่อสารที่ดีในที่ทำงาน หลายคนไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งทำงาน แต่รู้สึกว่าจำเป็นต้อง “แสดง” ว่ากำลังทำงานเพื่อเอาตัวรอด
ที่น่าคิดคือ แม้ 69% บอกว่าหากถูกจับตามากขึ้น จะทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น แต่ก็มีถึง 10% ที่ยืนยันว่าจะหาทางพักหรือแกล้งทำงานอยู่ดี ขณะที่อีก 3% บอกว่าไม่มีผล เพราะมีวินัยในตัวเองอยู่แล้ว
ทางออกที่ดี วางใจมากกว่าจับผิด
วิธีแก้ปัญหานี้ไม่ใช่การเพิ่มการตรวจสอบ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่มีความไว้ใจกันมากขึ้น องค์กรควรเริ่มจากการรับฟัง และเข้าใจว่าเบื้องหลังพฤติกรรม Ghostworking มีเหตุผลเฉพาะของแต่ละคน เพราะสุดท้ายการที่เกิดการ ‘แกล้งทำงาน’ อาจจะมีต้นตอที่น่าจะมีความสมเหตุสมผลก็เป็นได้
สิ่งที่องค์กรสามารถทำได้
- พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ
- เปิดพื้นที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
- ชื่นชมความสำเร็จของพนักงาน แม้จะเป็นเรื่องเล็ก
- สร้างโอกาสในการเติบโต เช่น อบรม เพิ่มเส้นทางเลื่อนตำแหน่ง
เทรนด์ Ghostworking ไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้เกียจ” แต่เป็นสัญญาณเตือน
สุดท้ายแล้วการ “แกล้งทำงาน” อาจเป็นแค่ปลายทางของระบบที่ขาดความไว้วางใจ เพราะบริษัทวัดจากการที่ดูยุ่ง และละเลยผลงานจริง ๆ ที่ทำ แต่บางทีก็เกิดจาก ความขี้เกียจก็เป็นได้ค่ะ
ง่าย ๆ เลยไม่ว่าจะทั้งพนักงานหรือบริษัท ควรที่จะทุ่มเท ตัวพนักงานก็ควรตั้งใจทำงานอย่างแท้จริงไม่ขี้เกียจฝังลึก ทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้เต็มที่ ส่วนบริษัทก็ไม่มานั่งจับจ้องหรือทำให้พนักงานรู้สึกถูกควบคุม รวมถึงใส่ใจในสิ่งที่พนักงานทำจริง ๆ มองผลงานที่ออกไปให้มากยิ่งขึ้น
เพราะไม่เช่นนั้น พนักงานก็จะยิ่งซ่อนพฤติกรรม แสร้งว่าทำงานมากขึ้น และยิ่งทำให้กินแรงพนักงานที่ทำงานจริง ๆ กลายเป็นผลเสียเสมือนกับเนื้อร้ายที่ค่อย ๆ ลุกลาม และความสัมพันธ์ในที่ทำงานก็จะยิ่งห่างออกไป การมาเจอกันตรงกลางทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ จะทำให้ทุกการกระทำนั้นมีความหมายมากกว่าเดิมได้ค่ะ