เงินเดือนออกทีไร ทำไมเก็บเงินไม่อยู่สักที ? ทั้งที่วางแผนค่าใช้จ่ายจำเป็นไว้อย่างดีแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่พุ่งปรี๊ด ตัวการสำคัญอาจไม่ใช่รายจ่ายก้อนโต แต่เป็นกับดักทางการเงินที่เรียกว่า “Subscription Economy” หรือเศรษฐกิจแบบสมัครสมาชิก ที่มาจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้าม ไม่ว่าจะเป็นแอปฯ สตรีมมิง, ค่า iCloud, ฟีเจอร์แอปฯ แต่งรูป หรือโมเดล AI ที่สมัครไว้เพราะอยากลองใช้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นรายจ่ายประจำโดยไม่รู้ตัว
นี่คือกับดักร้ายของระบบ Subscription ที่ทำให้เงินของคุณรั่วไหลไปทีละนิด จนกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เราเก็บเงินไม่อยู่
ทำความรู้จัก Subscription Business Model
Subscription Business Model เป็นระบบการจ่ายค่าสมัครสมาชิก เพื่อให้สามารถใช้สินค้าและบริการจากแบรนด์นั้น ๆ โดยเหมาจ่ายค่าบริการเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายปี แทนการจ่ายเงินซื้อสินค้าแบบครั้งเดียวจบ แถมยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เปลี่ยนจากการซื้อครั้งเดียวกลายมาเป็นลูกค้าประจำ
ซึ่ง Subscription Business Model ที่คุ้นเคยกันดีก็เช่น สตรีมมิงออนไลน์ อย่าง Netflix, Disney+, YouTube หรือฟีเจอร์แต่งรูป Meitu พรีเมียม ไปจนถึงโมเดล AI ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่คนทำงานยุคใหม่ต้องแลก เพื่อจะได้ทันกระแสเทคโนโลยีที่แต่ละเจ้าต่างพากันเร่งพัฒนาความสามารถมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ซึ่งในมุมผู้ประกอบการ โมเดลธุรกิจ Subscription ถือเป็นสูตรสำเร็จที่สร้างรายได้ซ้ำ ๆ ให้ทุกเดือน เป็นการเก็บน้อย ๆ แต่ได้นาน ๆ คาดการณ์รายได้ได้แม่นยำ ช่วยให้เห็นข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า และสามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาโปรดักต์ได้อย่างตรงจุด

รูปแบบของ Subscription Business Model
Subscription สามารถแบ่งออกได้ 3 รูปแบบ คือ
- Product-based Subscription : เป็นการส่งผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้อย่างต่อเนื่อง มักเป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำบ่อย ๆ หรือสินค้าที่คัดสรรมาเพื่อไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม เช่น อาหารคลีนรายสัปดาห์
- Service-based Subscription : การสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงบริการได้แบบไม่จำกัดอย่างต่อเนื่อง เช่น Netflix, Spotify, คอร์สเรียนออนไลน์
- Membership Subscription : การสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์พิเศษ หรือเข้าถึงบริการที่ถูกจำกัดเฉพาะสมาชิก เช่น สปอร์ตคลับ
กับดับที่หลอกตา ความคุ้มค่าที่มองว่าจำเป็น
เคยเป็นกันไหม ? ทุกครั้งที่สมัครแอปฯ สตรีมมิงดูหนังอย่าง Netflix เพื่อหาความบันเทิงใจ แต่หาจนหมดวันก็ยังไม่ได้ดูสักที กว่าจะเจอที่ถูกใจหรือมีเวลาดู แพ็กเกจที่สมัครไว้ก็หมดอายุไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคอนเทนต์ที่เราสนใจก็อยู่คนละแพลตฟอร์ม จึงต้องยอมจ่ายเพิ่มเพื่อเสพความบันเทิง บริการบางอย่างถูกสมัครทิ้งไว้เพียงเพราะโปรโมชันทดลองใช้ฟรีเดือนแรกและถูกลืมไปในที่สุด กลายเป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ที่รั่วไหลออกจากกระเป๋าเงินของเราไปทีละน้อย ๆ ในแต่ละเดือน
กับดักแรกที่อันตรายที่สุดคือ การจ่ายน้อยแต่จ่ายนาน การจ่ายเงิน 59 บาท หรือ 99 บาทต่อเดือน อาจดูเป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ทำให้เราตัดสินใจสมัครได้ง่ายดายโดยไม่ต้องไตร่ตรอง แต่เมื่อนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มารวมกันตลอดทั้งปี มันอาจกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน
อีกหนึ่งอย่างคือความยุ่งยากในการยกเลิก ผู้ให้บริการบางรายออกแบบกระบวนการยกเลิกให้ซับซ้อนและใช้เวลาหลายขั้นตอน เพื่อถ่วงเวลาให้ผู้บริโภคเปลี่ยนใจหรือล้มเลิกความตั้งใจไปเอง
Subscription Economy ไม่ใช่ผู้ร้ายเสียทีเดียว มันคือวิวัฒนาการของรูปแบบธุรกิจที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

แล้วแต่ละเดือนหมดไปกับค่าสมัครสมาชิกรายเดือนไปเท่าไหร่กันบ้าง ?
มาลองดูตัวเลขจริงบ้าง หาก 1 เดือน คุณสมัครแอปฯ สตรีมมิงหรือผลิตภัณฑ์ที่เสียค่าสมัครสมาชิกรายเดือน ต้องจ่ายบิลไปเท่าไหร่ ?
- Netflix Premium Plan เริ่มต้น 419 บาท/เดือน
- YouTube Premium เริ่มต้น 179 บาท/เดือน
- Spotify Premium เริ่มต้น 149 บาท/เดือน
- Meitu VIP เริ่มต้น 199 บาท/เดือน
- Gemini Pro เริ่มต้น 750 บาท/เดือน
- Canva Pro เริ่มต้น 229 บาท/เดือน
- ChatGPT Plus เริ่มต้น 720 บาท/เดือน
หากเลือกตัวที่ใช้งานจริง ๆ เพียง 2-3 ตัว สมมุติเลือก Gemini Pro, Canva Pro รวมกับสตรีมมิงดูหนัง Netflix ค่าใช้จ่ายก็ปาเข้าไป 1,500 กว่าบาท ยังมีค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคอีก บางคนอาจตกอยู่ที่ราว ๆ 8,000 บาทต่อเดือน หากสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นจากค่าใช้จ่ายรายเดือนนี้ ก็จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
ป้องกันตัวเองอย่างไรจากกับดักที่สร้างขึ้น
1. อ่านเงื่อนไขให้จบ
ถึงตัวหนังสือจะเล็กและยาว แต่อย่าเลื่อนผ่าน “ข้อกำหนดและเงื่อนไข” เด็ดขาด ควรอ่านให้เข้าใจก่อนคลิกยอมรับ ก่อนกดยืนยัน ให้สังเกตดูว่ามีช่องไหนที่ถูกทำเครื่องหมาย ✓ ยอมรับเงื่อนไขหรือสมัครรับบริการเสริมไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ ให้เอาเครื่องหมายออก
2. ตั้งเตือนวันยกเลิก
หากเป็นสินค้าหรือบริการประเภท “ทดลองใช้ฟรี” ให้รีบตั้งการแจ้งเตือนในปฏิทินหรือมือถือก่อนวันหมดเขต จะได้ไม่ลืมยกเลิกและไม่ถูกหักเงินอัตโนมัติ
3. เช็กประวัติบริษัทก่อนจ่ายเงิน
อย่าเพิ่งให้ข้อมูลบัตรเครดิตกับบริษัทหรือเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย ลองนำชื่อไปค้นหาใน Google เพื่ออ่านรีวิวหรือตรวจสอบความน่าเชื่อถือเสียก่อน ควรถ่ายรูปหรือแคปหน้าจอเก็บไว้เสมอ ทั้งหน้าโฆษณาและหน้ารายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ เผื่อเกิดปัญหาในภายหลัง
4. หมั่นเช็กยอดบัตรเครดิต
ควรเปิดดูรายการใช้จ่ายในแอปพลิเคชันของธนาคารเป็นประจำ หากเจอยอดเงินแปลก ๆ ที่คุณไม่ได้ใช้ ให้รีบติดต่อธนาคารทันทีเพื่ออายัดบัตรหรือปฏิเสธ
ในฐานะผู้บริโภคยุคดิจิทัล การมี “วินัยทางการเงิน” คือทางออกที่ดีที่สุด หมั่นตรวจเช็กรายจ่ายแฝงหรือรายการตัดบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารเป็นประจำทุกเดือน ตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า บริการนี้ยังคุ้มค่าอยู่หรือเปล่า ? จะช่วยให้เราตัดสินใจยกเลิกบริการที่ไม่จำเป็นได้ง่ายขึ้น เพื่อไม่ให้รายจ่ายที่ฟุ่มเฟื่อยเกินจำเป็น กลายมาเป็นโซ่ตรวนทางการเงินที่ผูกมัดเราไว้โดยไม่รู้ตัว