“ฉันก็สดใสอยู่ดี ๆ จนกระทั่งฉันมาทำงาน” วลีสุดฮิตในโซเชียลที่โดนใจวัยทำงานหลายคน สะท้อนความรู้สึกของสังคมการทำงานที่ถาโถมความรับผิดชอบจนเอ่อล้น การอดหลับอดนอนเพื่อปั่นงานให้เสร็จทันเดดไลน์ ประชุมอีกมากมายที่ต่อคิวจองตัวทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z จะไม่ได้อินกับการทำงานแบบ Hustle Culture ที่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียว แต่หันไปสนใจการทำงานแบบ Lazy Girl Job หรือ งานสาวขี้เกียจ ที่เน้นการทำงานแบบ Work-Life Balance แทน

Lazy Girl Job คืออะไร ?
ทุกวันนี้ถ้าคุณไถฟีด TikTok คุณอาจจะเคยได้ยินคำว่า Lazy Girl Job หรืองานของสาวขี้เกียจผ่านหูผ่านตามาบ้าง เทรนด์นี้กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มตั้งคำถามกับวัฒนธรรมการทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ที่เคยเป็นบรรทัดฐานของสังคม
ก่อนอื่นต้องบอกว่า Lazy Girl ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีแนวคิดนี้จะขี้เกียจ คำนี้เป็นคำที่ กาเบรียล จัดจ์ (Gabrielle Judge) TikToker สาวบัญญัติขึ้นมา เพื่ออธิบายถึงงานที่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ว่าเป็นงานที่ทำให้เรามีเวลาและพลังงานเหลือเฟือไปใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ ไม่ต้องแบกรับความกดดันหรือการแข่งขัน สามารถวางแผนการทำงานได้เอง มีเวลาออกกำลังกายก่อนเริ่มงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานไฮบริดที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้
ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะมองว่า แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ ? ในมุมมองของจัดจ์ เธอก็ได้อธิบายเพิ่มว่าเราสามารถเลือกงานที่เรามีความรู้พื้นฐานหรือตำแหน่งงานที่ไม่ต้องใช้พลังงานมาก เน้นโฟกัสที่ความสุขกับเวลามากกว่างานที่ต้องแบกกลับมาทำต่อที่บ้าน
แม้ชื่อเทรนด์จะใช้คำว่า “Girl” แต่แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถนำไปปรับใช้ได้ เพราะหัวใจของมันคือการจัดลำดับความสำคัญของชีวิต โดยมองว่างานเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของชีวิต ไม่ใช่ “ทั้งหมด” ของชีวิต
เทรนด์นี้จึงไม่ได้ส่งเสริมให้คนขี้เกียจ แต่เป็นการสนับสนุนให้ผู้คนมองหางานที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความสุขของตนเองจริง ๆ
แล้วงานแบบไหนล่ะที่จัดว่าอยู่ใน Lazy Girl Job
หลังจากทำความเข้าใจแล้วว่า Lazy Girl Job ไม่ใช่เรื่องของความขี้เกียจ แต่เป็นเรื่องของการมี Work-Life Balance ที่ดี เรามาดูตัวอย่างสายอาชีพกันบ้าง
- พนักงานคีย์ข้อมูล
- ติวเตอร์ออนไลน์
- นักพิสูจน์อักษร
- ผู้ช่วยเสมือน
- บล็อกเกอร์
- นักแปล
ซึ่งตัวอย่างงานเหล่านี้เป็นงานที่ต้องมีความยืดหยุ่นสูง ทำงานที่ไหนก็ได้ ความเครียดต่ำและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
Lazy Girl Job ไม่ใช่เรื่องของความขี้เกียจแต่ทำไมฉันต้องทำงานหนัก
การมาถึงของเทรนด์ Lazy Girl Job สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่มีต่องานอย่างชัดเจน คน Gen Z และ Millennials จำนวนไม่น้อยเติบโตมาโดยเห็นคนรุ่นก่อน ๆ ทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานหนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ใช่ความสุขหรือความสำเร็จในชีวิตเสมอไป แถมยังทำให้หมดไฟกับการทำงานง่ายขึ้นด้วย จึงเกิดการตั้งคำถามกับแนวคิดที่ว่าทำไม “ต้องทำงานหนักก่อนถึงจะสบายทีหลัง”
อีกปัจจัยสำคัญคือการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้หลายคนได้สัมผัสกับการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการทำงานไม่จำเป็นต้องผูกติดกับออฟฟิศเสมอไป และการมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้นก็ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างเห็นได้ชัด
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ชื่อ “Lazy Girl Job” อาจทำให้บางคนมองว่าเป็นเทรนด์ของคนขี้เกียจหรือรักสบาย แต่หากมองให้ลึกลงไป นี่อาจไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้เกียจ” แต่คือการ “ฉลาดเลือก” เพื่อจัดลำดับความสำคัญกับการมีเวลาและพลังงานเหลือพอที่จะออกไปทำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิต ได้ทำงานอดิเรกที่ช่วยฮีลใจ เพราะเมื่อเรามีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ก็จะส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน