ในโลกการทำงานยุคใหม่ คำแนะนำที่ว่า “จงเป็นตัวของตัวเอง” (Be Yourself) อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อ “ความเป็นตัวเอง” นั้นถูกแสดงออกมาอย่างไม่ผ่านการกลั่นกรอง

แนวคิดนี้ไปเตะตาผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งเข้า โทมัส ชามอร์โร-พรีมูซิค (Dr. Tomas Chamorro-Premuzic) จนเขียนหนังสือออกมาในชื่อ “Don’t Be Yourself: Why Authenticity Is Overrated (and What to Do Instead)” 

Gen Z กับ “ความจริงใจ” ที่มากเกินไป ?

หนังสือเล่มนี้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานรุ่นใหม่หรือ Gen Z ที่มักถูกวิจารณ์ว่า “ขาดทักษะทางสังคม” หรือ “จริงใจเกินไป” จนดูไม่เป็นมืออาชีพ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการไม่สนใจการแต่งกายตามธรรมเนียมขององค์กร หรือพฤติกรรมที่กำลังเป็นไวรัลอย่าง “Gen Z Stare” (การจ้องหน้าคู่สนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์) ทำให้ถูกมองว่าเป็นการแสดงตัวตนที่มากเกินไป จนขาดความเป็นมืออาชีพ

แต่การแสดงสีหน้าเรียบเฉยของเหล่า Gen Z ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยในเวลานั้น แค่อาจจะกำลังคิดตามอยู่ก็เป็นได้ เพราะการที่ตัดสินคนผ่านรูปแบบการแสดงสีหน้าอาจใช้ไม่ได้เสมอไป ไม่เช่นนั้นบางคนหน้าดุ ก็อาจจะถูกตัดสินเลยก็ได้ว่า เขากำลังโมโหอยู่รึเปล่า ?

เก็บตัวตนแท้จริงไว้ที่บ้าน

แนวคิดนี้ไม่ได้มาจากนักวิชาการเท่านั้น แต่ผู้บริหารระดับสูงหลายคนก็เห็นพ้องเช่นกัน มาร์ก แอนดรีสเซน (Marc Andreessen) นักลงทุนพันล้านชื่อดัง เคยทวีตข้อความที่ตรงไปตรงมาว่า “เก็บตัวตนแท้จริงทั้งหมดของคุณไว้ที่บ้าน แล้วทำตัวให้เป็นมืออาชีพในที่ทำงานและในที่สาธารณะ”

สอดคล้องกับที่ ดร. โมดูเป อคิโนลา (Dr. Modupe Akinola) รองศาสตราจารย์จาก Columbia Business School (ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับผู้เขียนหนังสือ) ได้ให้ข้อมูลเสริมว่า คำแนะนำ “จงอย่าเป็นตัวของตัวเอง” เพราะอาจส่งผลเสีย โดยเฉพาะกับผู้หญิงและคนกลุ่มน้อย ที่ “ตัวตนแท้จริง” ของพวกเขาอาจไม่ตรงกับบรรทัดฐานขององค์กร ซึ่งมักถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่

การกลั่นกรองตัวเอง คือการมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่การเสแสร้ง

ผู้เขียนหนังสือ “Don’t Be Yourself” แนะนำว่า สิ่งที่จำเป็นในที่ทำงานไม่ใช่ “การแสดงความจริงใจหมดเปลือก” (Raw Authenticity) แต่คือ “การกลั่นกรองตัวเอง” (Self-Filtering)

“แค่คุณรู้สึกอยากพูด ไม่ได้แปลว่าคุณควรพูด การตระหนักรู้แบบนี้ ต้องอาศัยวุฒิภาวะทางจิตใจ ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นผู้นำที่แท้จริง”

ผู้นำที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ทำสิ่งนี้อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว ผ่านการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกวัน เช่น การเลือกใช้คำในอีเมล การตัดสินใจว่าจะโพสต์อะไรลงโซเชียลมีเดีย หรือการควบคุมอารมณ์และภาษาท่าทางในที่ประชุม

สิ่งที่น่าสนใจคือ การ “กลั่นกรองตัวเอง” หรือการคิดก่อนทำอย่างเหมาะสม กลับช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้เราดูมีความสามารถ มากขึ้นในสายตาคนอื่น ดังนั้น การเป็นตัวเองในที่ทำงานไม่ผิด แต่การรู้จักควบคุมและกลั่นกรอง รู้ว่าเวลาไหนควรแสดงตัวตน และเวลาไหนควรเก็บไว้ก่อน อาจทำให้เราได้รับความไว้วางใจมากกว่าการแสดงออกทุกอย่างจนหมดเปลือก

อย่างไรก็ตาม การเป็นตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรเป็นให้ถูกที่และถูกทางจะดีกว่า ทุกคนคงได้ยินคำว่า “ร้อยพ่อ พันแม่” เพราะเราทุกคนมาจากสังคมและครอบครัวที่แตกต่างกัน ต่อให้ตัวเราเองมองว่านี่คือความจริงใจและความเป็นตัวเรา แต่คนที่อยู่ด้วย ณ เวลานั้นอาจจะมองว่าเราไร้มารยาทก็ได้ 

ท้ายที่สุด แม้คำว่า “Be yourself” จะฟังดูง่ายและจริงใจ แต่ในโลกของการทำงานที่ซับซ้อน และเต็มไปด้วยความคาดหวัง การเป็น “ตัวเองมากเกินไป” อาจกำลังปิดโอกาสในการเติบโตของเรา และทำให้คนอื่นเห็นเราแค่ส่วนหนึ่ง รวมถึงอาจเข้าใจและมองเราผิดไปโดยที่เราไม่รู้ตัวและไม่ได้ปกป้องตัวเองแม้แต่นิดเดียว…