การเลือกตั้งที่จะถึงนี้อาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนจำนวนไม่น้อยเนื่องจาก กกต. ได้ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งและวันทำประชามติเป็นวันเดียวกันคือ 8 ก.พ. 2569 ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งหนึ่งคนต้องลงคะแนนเสียงถึง 3 ใบด้วยกัน

แม้จะเคยผ่านตาบัตรเลือกตั้งมาบ้างแล้ว แต่บัตรที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นตา คือใบลงคะแนนทำประชามติ ครั้งล่าสุดที่ทำคือเมื่อปี 2559 หรือกว่า 10 ปีที่แล้ว

บทความนี้ BT จะพามาทำความรู้จักกับหน้าตาและความสำคัญของบัตรลงคะแนนเสียงแต่ละใบว่าแตกต่างและมีจุดสังเกตไหนที่ผู้ที่เตรียมจะไปใช้สิทธิ์ควรรู้ก่อนเดินเข้าคูหา

รู้จักบัตร 3 ใบในการเลือกตั้ง 69

โดยปกติแล้วการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กา (X) เลือกผู้สมัครและพรรคการเมือง ในรูปแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ แต่เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งนี้มีการเสนอให้ทำประชามติในประเด็นการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ ทำให้การลงคะแนนเสียงรอบนี้จะต้องกาบัตรถึง 3 ใบด้วยกัน ซึ่งข้อแตกต่างของแต่ละแบบมีดังนี้

1. บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต

บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ซึ่งเน้นไปที่การเลือกตัวบุคคล สำหรับเลือกหมายเลขผู้สมัคร โดยหมายเลขผู้สมัครอาจจะแตกต่างจากหมายเลขพรรค ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องศึกษาข้อมูลไว้เพื่อป้องกันความสับสน

2. บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ

ใช้เลือก สส. ตามรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ โดยจะมีสัญลักษณ์ หรือโลโก้ของพรรคการเมือง และช่องสำหรับกากบาท ซึ่งหมายเลขพรรคการเมืองจะเป็นหมายเลขเดียวกันทั้งประเทศ

3. ใบทำประชามติ

บัตรออกเสียงประชามติแบบประเด็นเดียว ในการลงคะแนนนั้นผู้มีสิทธิจะต้องอ่านประเด็นประชามติที่ระบุไว้กึ่งกลางบัตรอย่างถี่ถ้วน จากนั้นให้ใช้ปากกาทำเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่องสี่เหลี่ยมเพียงช่องเดียวเท่านั้น โดยสามารถเลือกได้ระหว่างช่อง “เห็นชอบ” หากต้องการสนับสนุน หรือช่อง “ไม่เห็นชอบ” หากต้องการคัดค้านประเด็นดังกล่าว

นอกจากนี้ บัตรยังมีการออกแบบช่องพิเศษไว้ที่มุมขวาล่างสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง โดยสามารถกากบาทในช่อง “ไม่แสดงความคิดเห็น” ได้โดยตรง เพื่อให้การนับคะแนนเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่กลายเป็นบัตรเสีย

ข้อควรระวัง : ผู้ลงคะแนนต้องระมัดระวังไม่เขียนข้อความอื่นใดหรือทำสัญลักษณ์อื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในบัตรเพื่อไม่ให้กลายเป็นบัตรเสีย

คุณสมบัติของผู้เลือกตั้ง และทำประชามติ

  • สัญชาติไทย (ผู้แปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี)
  • อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (เกิดก่อน 8 ก.พ. 2551) ในวันออกเสียง
  • มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตออกเสียงมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันออกเสียง

หลักฐานที่ต้องนำไปแสดง

  • บัตรประจำตัวประชาชน (บัตรหมดอายุสามารถใช้ได้) 
  • บัตรประจำตัวหรือหลักฐานที่ราชการออกให้ อาทิ บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ, บัตรประจำตัวผู้รับบำเหน็จบำนาญ, ใบขับขี่  และหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้การเลือกตั้งล่วงหน้าจะเปิดให้มีการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับการลงทะเบียนล่วงหน้าของการทำประชามติ กกต. เตรียมเปิดลงทะเบียน 3 – 5 ม.ค. 2569 นี้ แนะนำให้ประชาชนรีบลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากระบบอาจล่มได้