หลังจากที่เรื่องราวของพ่อมดน้อย ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ (Harry Potter) จากหนังสือวรรณกรรมเยาวชนของ ‘เจ.เค.โรว์ลิง’ (J.K.Rowling) ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ 8 ภาค ณ วันนี้ โลกเวทมนตร์ได้ถูกขยายออกเป็นจักรวาล ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘วิซาร์ดดิง’ เวิลด์ (Wizarding World) เพื่อขยายเรื่องราวออกไปให้ไกลกว่าเดิม ทั้งละครเวที เกมโชว์ สารคดี เกม บอร์ดเกม สวนสนุก ฯลฯ โดยเฉพาะการขยายเรื่องราวโลกเวทมนตร์ยุคโบราณ และเรื่องราวของสัตว์วิเศษ จนกลายมาเป็นแฟรนไชส์ ‘Fantastic Beasts’ ที่มีมาแล้วถึง 3 ภาค
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า หากมองในภาพรวม กระแสของ ‘Fantastic Beasts’ ทั้ง 3 ภาค ที่แม้จะยังมีพอตเตอร์เฮด หรือแฟนเดนตายของจักรวาลแฮร์รี พอตเตอร์ติดตามอย่างเหนียวแน่น แต่กลับทำรายได้ไม่สู้ดีนัก อันเป็นผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 และตัวบทที่มีปัญหาจนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ทั้งสามภาค จนทำให้รายได้จากทั้ง 3 ภาค ยังไม่มีภาคไหนที่พอจะเทียบเคียงกับความสำเร็จจากภาพยนตร์แฟรนไชส์พ่อมดน้อย ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ได้เลย


บทความนี้จึงขอพาทุกท่านย้อนไปสำรวจทุนสร้าง รายได้ คำวิจารณ์ ภาพยนตร์จากจักรวาล ‘Wizarding World’ ทั้ง 11 เรื่อง และวิเคราะห์แนวโน้มต่อไปว่า ‘Fantastic Beasts’ รายได้และเสียงวิจารณ์จากทั้ง 3 ภาคแรก จะส่งผลให้มีการสร้างภาคที่ 4 และ 5 ต่อไปในอนาคตหรือไม่ หรือคาถาผู้พิทักษ์ของพ่อมดน้อยที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปี อาจกำลังจะเสื่อมถอยเสียแล้ว ?
“เอกซ์เปกโต พาโตรนุม” : วัดพลัง “ทุนสร้าง” – “รายได้” ภาพยนตร์ทุกเรื่องในจักรวาล ‘Wizarding World’
(หมายเหตุ : เรียงตามรายได้รวมทั่วโลกจากมากไปน้อย)


(อันดับที่ 1)
‘Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2’ (2011) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 7 ตอนที่ 2)
วันที่ฉาย : 15 กรกฏาคม 2011
ทุนสร้าง : 125 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 1,342 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 96%


(อันดับที่ 2)
‘Harry Potter and the Philosopher’s Stone’ (2001) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 1)
วันที่ฉาย : 16 พฤศจิกายน 2001
ทุนสร้าง : 125 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 1,017 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 81%


(อันดับที่ 3)
‘Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1’ (2010) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 7 ตอนที่ 1)
วันที่ฉาย : 19 พฤศจิกายน 2010
ทุนสร้าง : 125 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 977 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 77%


(อันดับที่ 4)
‘Harry Potter and the Order of the Phoenix’ (2007) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 5)
วันที่ฉาย : 11 กรกฏาคม 2007
ทุนสร้าง : 150 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 942 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 78%


(อันดับที่ 5)
‘Harry Potter and the Half-Blood Prince’ (2009) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 6)
วันที่ฉาย : 15 กรกฏาคม 2009
ทุนสร้าง : 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 934 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 83%


(อันดับที่ 6)
‘Harry Potter and the Goblet of Fire’ (2005) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 4)
วันที่ฉาย : 18 พฤศจิกายน 2005
ทุนสร้าง : 150 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 896 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 88%


(อันดับที่ 7)
‘Harry Potter and the Chamber of Secrets’ (2002) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 2)
วันที่ฉาย : 15 พฤศจิกายน 2002
ทุนสร้าง : 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 879 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 83%


(อันดับที่ 8)
‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’ (2016) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 1)
วันที่ฉาย : 18 พฤศจิกายน 2016
ทุนสร้าง : 175 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 814 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 74%


(อันดับที่ 9)
‘Harry Potter and the Prisoner of Azkaban’ (2004) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 3)
วันที่ฉาย : 4 มิถุนายน 2004
ทุนสร้าง : 130 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 797 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 90%


(อันดับที่ 10)
‘Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald’ (2018) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 2)
วันที่ฉาย : 16 พฤศจิกายน 2018
ทุนสร้าง : 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 654 ล้านเหรียญสหรัฐ
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 36%


(อันดับที่ 11)
‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ (2022) (ภาพยนตร์ลำดับที่ 3)
วันที่ฉาย : 15 เมษายน 2022
ทุนสร้าง : 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้รวมทั่วโลก : 193 ล้านเหรียญสหรัฐ (ณ วันที่ 18 เมษายน 2565)
คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes : 49%
“วิงการ์เดียม เลวีโอซา” : ภาคไหนรายได้ลอยลำ ภาตไหนรายได้ต่ำเตี้ย
หากรวมรายได้ Box office จากภาพยนตร์ทั้งหมด 11 เรื่องในจักรวาล ‘Wizarding World’ ทั้งแฟรนไชส์ ‘Harry Potter’ และ ‘Fantastic Beasts’ จะมีรายได้รวมกันทั้งหมด 9,450 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้จักรวาล Wizarding World เป็นจักรวาลภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 4 รองจากจักรวาลมาร์เวล (Marvel Cinematic Universe – MCU) จักรวาลสตาร์ วอร์ส (Star Wars) และจักรวาลสไปเดอร์-แมน (Spider-Man)


แต่หากแยกรายได้แต่ละแฟรนไชส์ออกจากกัน พบว่า แฟรนไชส์ Harry Potter ทั้ง 8 ภาค สามารถทำรายได้รวม 7,787 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยภาคที่ทำรายได้มากที่สุดคือ ‘Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2’ (2011) ภาพยนตร์ลำดับสุดท้ายของแฟรนไชส์พ่อมดน้อย ซึ่งเป็นภาคเดียวที่ทำรายได้แตะหลักพันล้านเหรียญ (1,342 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ) จากทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนภาคที่ทำรายได้น้อยที่สุดคือ ‘Harry Potter and the Prisoner of Azkaban’ (2004) ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ที่แม้จะใช้ทุนมากกว่าถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯแต่กลับทำรายได้ไปเพียง 797 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


ส่วนแฟรนไชส์ ‘Fantastic Beasts’ ทั้ง 3 ภาค ทำรายได้รวม 1,662 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภาคที่ทำรายได้มากที่สุดในขณะนี้ก็คือ ‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’ (2016) ภาคแรกของจักรวาลสัตว์วิเศษ ที่ทำรายได้ทั่วโลกมากที่สุด 814 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 175 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่อีกสองภาค ทั้ง ‘Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald’ (2018) และ ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ (2022) กลายเป็น 2 อันดับภาพยนตร์ในจักรวาลที่ทำรายได้น้อยที่สุด


และหากเทียบในแง่ของทุนสร้าง ภาพยนตร์ทั้ง 11 เรื่อง ใช้ทุนสร้างรวมทั้งสิ้น 1,730 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย ‘Harry Potter and the Half-Blood Prince’ (2009) พ่อมดน้อยภาคที่ 5 เป็นภาพยนตร์ใช้ทุนสร้างมากที่สุดถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนภาค 2 ‘Harry Potter and the Chamber of Secrets’ (2002) ใช้ทุนสร้างเพียง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างน้อยที่สุด
ในขณะที่ ‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’ (2016) แม้จะใช้ทุนสร้างน้อยที่สุดของแฟรนไชส์ที่ 175 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่กลับเป็นภาคที่ทำรายได้มากที่สุด 814 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ ‘Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald’ (2018) ที่ใช้ทุนมากกว่าที่ 200 ล้านเหรียญ แต่กลับทำรายได้เพียง 654 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


และ ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore‘ (2022) สามารถทำรายได้รวมทั่วโลก (ณ วันที่ 18 เมษายน 2565) ทั้งหมด 193 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับภาคที่แล้ว แต่กลับเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ตอนเปิดตัวเฉพาะการฉายในสหรัฐอเมริกาได้เพียงแค่ 43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น นับเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ช่วงเปิดตัวต่ำที่สุดในจักรวาล Wizarding World


ส่วนสาเหตุที่ทำให้ภาคนี้ทำรายได้ไม่ตามเป้าที่วางไว้ (ที่อย่างน้อยควรจะได้สักประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป จึงจะถือว่าคุ้มทุนแบบหืดขึ้นคอ) ก็มีหลายประการ นอกจากกระแสคนดูและนักวิจารณ์ที่ค่อนไปในทางลบ (คะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 49% ได้อันดับรองท้ายจากทุกเรื่อง) รวมทั้งประเทศจีน ที่มีตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็กำลังประสบปัญหาโควิดระบาดระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์ และปิดโรงภาพยนตร์จนไม่สามารถทำรายได้ตามเป้า ทั้ง ๆ ที่จีนเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้ฉายก่อนหลาย ๆ ประเทศในโลก


แน่นอนว่า ขณะนี้ ตัวเลขรายได้ของ ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore‘ อาจจะยังไม่นิ่ง เนื่องจากยังไม่ออกจากโรง จึงยังไม่อาจสรุปรายได้ที่แท้จริงว่าจะได้เท่าไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือ หากตัวหนังในภาคที่ 3 นี้ทำรายได้ได้ไม่ตามเป้าตามที่ตั้งไว้ ก็อาจส่งผลทำให้วอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิกเจอร์ส (Warner Bros. Pictures) พิจารณาตัดสินใจทำ “อะไรบางอย่าง” กับแฟรนไชส์นี้ ในระหว่างที่ยังไม่ได้ออกมายืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างภาคที่ 4 และ 5 ต่อไปในอนาคตหรือไม่ เนื่องจากต้องรอดูรายได้จากภาคที่กำลังฉายอยู่นี้เป็นตัวตัดสิน


อะไรบางอย่างที่วอร์เนอร์สกำลังทำ อาจเป็นไปได้ทั้งการอนุมัติให้ทำต่อไป พร้อมกับการปรับรื้อแผนครั้งใหญ่ ให้ตัวหนังออกมาถูกใจคนส่วนใหญ่มากขึ้น อาจเก็บสัตว์วิเศษเข้ากระเป๋า (พับแผนโปรเจกต์เพื่อเว้นวรรค) ไปชั่วคราว หรือไม่ Warner Bros. ก็อาจร่ายมนต์ “คาถากรีดแทง” ล้มแผนสร้างภาค 4-5 ไปเลยกลางคัน
หรือไม่ ก็อาจหาทางแปลงเรื่องราวไปเล่าในรูปแบบซีรีส์ไปเสียเลย เพราะ Warner Bros. เองก็มีแพลตฟอร์มสตรีมมิง เช่น HBO Max และ Discovery+ ที่เพิ่งซื้อมาหมาด ๆ และด้วยรูปแบบของซีรีส์ ก็น่าจะสามารถเล่าเรื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะการเล่าเส้นเรื่องที่ละเอียดยุ่บยั่บของแฟรนไชส์นี้ได้ละเอียดและละเลียดมากกว่าที่ภาพยนตร์ความยาวเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งจะทำได้