เป็นที่ทราบกันดีว่าสมาร์ตโฟนที่เน้นจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป มีความจุของแบตเตอรี่ในระดับที่น้อยกว่าสมาร์ตโฟนในประเทศจีน ยกตัวอย่างเช่น iPhone 17 Pro Max ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายน 2025 นี้ หรือ Samsung Galaxy S26 Ultra ที่จะเปิดตัวในต้นปี 2026 เป็นต้น ซึ่งมีรายงานว่าจะมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ด้วยกันทั้งสิ้น และทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลว่าอาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน หากพิจารณาจากฮาร์ดแวร์ของสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่สมาร์ตโฟนหลายรุ่นที่จำหน่ายในประเทศจีน มาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงกว่ามาก ยกตัวอย่างเช่น Xiaomi 15 Ultra และ vivo X200 Pro เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 6,000 mAh ด้วยกันทั้งสิ้น แต่เมื่อจำหน่ายในตลาดระดับโลกแล้วนั้น ก็จะถูกลดทอนความจุลง เช่น Xiaomi 15 Ultra ในประเทศเยอรมนี จะมีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 5,410 mAh หรือ vivo X200 Pro ในยุโรป จะมีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 5,200 mAh เป็นต้น
ล่าสุด ทิปสเตอร์นามว่า @UniverseIce ได้โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เปิดเผยว่า สิ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างนี้ คือกฎหมายการขนส่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มาตราที่ 49 CFR (ประมวลกฎหมายระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลกลาง) ส่วนที่ 173.185 ซึ่งจำกัดให้เซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-Ion) ต้องมีความจุไม่เกิน 20 Wh หรือประมาณ 5,000 mAh เพื่อหลักเลี่ยงไม่ให้ถูกจัดอยู่ในหมวด ‘Dangerous Goods’ หรือ ‘วัตถุอันตราย’ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น
- ค่า Wh (Watt-Hour) หรือวัตต์-ชั่วโมงนั้น เท่ากับ (mAh × V) ÷ 1,000 ยกตัวอย่างเช่น iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่ความจุ 4,702 mAh และมีแรงดันไฟฟ้า 3.8 โวลต์ ซึ่งเท่ากับ 17.87 Wh

@UniverseIce ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สหภาพยุโรปก็มีข้อกำหนดเพื่อลดขนาดความจุแบตเตอรี่ในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ทราบชัดเจน
นั่นจึงทำให้แบรนด์สมาร์ตโฟนจากประเทศจีนอย่าง vivo และ Xiaomi ต้องปรับเปลี่ยนความจุของแบตเตอรี่เพื่อส่งสมาร์ตโฟนไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ในขณะที่ Samsung, Apple และ Google ซึ่งเน้นตลาดในสหรัฐฯ และยุโรป ได้ดำเนินการโดยคำนึงถึงกฎหมายข้อนี้อยู่แล้ว
ทั้งนี้คาดว่ากฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกระแสการพัฒนาสมาร์ตโฟนเรือธงจากประเทศจีนในปี 2026 ที่คาดว่าจะติดตั้งแบตเตอรี่ความจุสูงกว่า 7,000 mAh ซึ่งจะยิ่งสร้างช่องว่างจากตลาดแถบตะวันตกมากยิ่งขึ้นไปอีก
