[รีวิว] Obi-Wan Kenobi (Ep. 1-3) – หวนคำนึงถึงปรมาจารย์เจได เติมเต็มเรื่องราวจากไตรภาคต้น (แบบเนือย ๆ )
Our score
7.6

Release Date

25/05/2022

แนว

แอ็กชัน / ผจญภัย

ความยาว

1 ซีซัน (6 ตอน)

เรตผู้ชม

13+

ผู้กำกับ

เดบอราห์ เชา (Deborah Chow) (6 ตอน)

[รีวิว] Obi-Wan Kenobi (Ep. 1-3) – หวนคำนึงถึงปรมาจารย์เจได เติมเต็มเรื่องราวจากไตรภาคต้น (แบบเนือย ๆ )
Our score
7.6

Obi-Wan Kenobi | โอบีวัน เคโนบี

จุดเด่น

  1. กลิ่นอาย Skywarker Saga ไตรภาคต้นจัดเต็ม แฟน ๆ หายคิดถึงแน่นอน
  2. ชวนให้คิดถึงไตรภาคต้นด้วยเรื่องราวและ Easter Egg ที่นึกถึงตามและเชื่อมโยงได้ไม่ยาก
  3. งานซีจีสมจริงตามมาตรฐานงาน Star Wars
  4. อีวาน แม็กเกรเกอร์ กลายเป็นอดีตเจไดได้รันทดสุด ๆ
  5. น้องที่เล่นเป็นเลอาวัยเด็กนี่ทั้งน่ารักทั้งแสบเลย

จุดสังเกต

  1. 2 ตอนแรกยังคลุมเครือและเดินเรื่องช้าไปสักหน่อย เพราะต้องปูเรื่อง-เล่าเรื่องรองไปก่อน
  2. แอบเบื่อดาวทาทูอีนนิด ๆ เหมือนกันนะ แต่ก็เข้าใจว่ามันเชื่อมโยงกัน
  3. แอ็กชันใน 2 Ep. แรกยังหนืด ๆ ไปหน่อย ดึขึ้นใน Ep. 3
  • ความสมบูรณ์ของเนื้อหา

    7.6

  • คุณภาพงานสร้าง

    7.8

  • คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง

    7.4

  • การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง

    7.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    8.0


เรียกได้ว่า ‘Obi-Wan Kenobi’ หรือ ‘โอบีวัน เคโนบี’ น่าจะเป็นซีรีส์ที่แฟน ๆ Star Wars รอคอยมากที่สุดแห่งปีแล้วล่ะครับ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ตัวละครอย่าง ‘โอบีวัน เคโนบี’ (Obi-Wan Kenobi) นั้นถือเป็นตัวละครสำคัญของจักรวาลหลัก หรือที่เรียกกันว่า ‘Skywalker Saga’ เลยก็ว่าได้ และเรื่องราวของปรมาจารย์เจได ผู้มีส่วนทำให้เกิดรอยแยกของเรื่องราวในตระกูลสกายวอล์กเกอร์ ก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้สำรวจได้อีกไม่รู้จบ

Obi-Wan Kenobi

ตัวซีรีส์รับเหมากำกับโดย ‘เดบอราห์ เชา’ (Deborah Chow) ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์หญิงจากสตาร์ วอร์ส ซีรีส์ ของ Disney+ ทั้ง ‘เดอะ แมนดาโลเรียน’ (The Mandalorian) และ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’ (The Book of Boba Fett) ซึ่งความแตกต่างของซีรีส์เรื่องนี้คือ เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่จะมีเพียง 1 ซีซันถ้วน โดยมีการปล่อย 2 ตอนแรกออกมา ก่อนจะทยอยปล่อยทีละตอนจนครบ 6 ตอนทุกสัปดาห์

Obi-Wan Kenobi

ตัวเนื้อเรื่องจะเล่าเรื่องต่อมาจาก Star Wars ไตรภาคต้น (เอพิโซด 1-2-3) ครับ หรือเป็นเหตุการณ์ 10 ปีให้หลังจาก ‘Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith’ (2005) นั่นเอง หลังจากที่พัลพาทีน (ดาร์ธ ซิเดียส) ได้ออกคำสั่ง ‘Order 66’ เพื่อล้างบางเจไดทั้งกาแล็กซี ผลก็คือ ทหารโคลนของจักรวรรดิ์ได้ออกตามล่าเจไดทั่วจักรวาล ทำให้นิกายเจไดล่มสลาย ส่วนเจไดที่รอดก็ต้องหนีตายหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศละทาง

Obi-Wan Kenobi

ส่วนปรมาจารย์เจไดอย่าง ‘โอบีวัน เคโนบี’ (Ewan McGregor) หลังจากที่ต่อสู้กับอดีตศิษย์รักอย่าง ‘อนาคิน สกายวอล์คเกอร์’ (Anakin Skywalker) เขาเลือกที่จะหนีมาอาศัยอยู่ในถ้ำกลางทะเลทรายบนดาวทาทูอีนด้วยความรู้สึกหมดหวังและรู้สึกผิดที่กำจัดศิษย์รักของตัวเอง จนบางครั้งเขาเองก็ฝันร้าย และเปลี่ยนตัวเองเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ที่มีชื่อว่า ‘เบน’ เพื่อหลบหนีการตามล่าของจักรวรรดิที่กำลังแผ่ขยายอำนาจ นอกจากนี้ เขาเองก็ยังไม่ทราบว่า อนาคินกำลังจะกลายเป็น ‘ดาร์ธ เวเดอร์’ (Hayden Christensen) ผู้นำแห่งกองทัพกาแล็กติก ผู้นำความมืดครอบงำกาแล็กซีทั้งปวง

Obi-Wan Kenobi

ส่วนเนื้อเรื่องใน 2 อีพีแรก จะเน้นไปที่การปูเรื่องครับ ในอีพีแรกจะมีความยาวร่วมชั่วโมง เพราะมี Recap เหตุการณ์ในไตรภาคต้น (เฉพาะเส้นเรื่องของโอบีวันกับอนาคิน) บวกเข้าไปด้วย ก่อนจะเริ่มเล่าถึงชีวิตในช่วงมืดมนของโอบีวัน ที่ตอนนี้กลายเป็นคนงานแล่เนื้อแลกเศษเงินไปวัน ๆ และคอยเฝ้า ‘ลุค สกายวอล์กเกอร์’ (Grant Feely) วัยเด็กที่เขาฝากไว้กับลุงโอเวน (Joel Edgerton) และป้าเบรู (Bonnie Piesse) อยู่ห่าง ๆ เพื่อหวังว่าเขาเองจะกลายมาเป็นความหวังใหม่ที่คืนสมดุลแห่งพลังมาสู่จักรวาล

Obi-Wan Kenobi

จนกระทั่งวันหนึ่ง อินควิซิเตอร์ (Inquisitor) ที่พัลพาทีนจัดตั้งเพื่อตามล่าเจไดทั่วจักรวาล ที่ประกอบไปด้วย ‘แกรนด์ อินควิซิเตอร์’ (Rupert Friend) ‘เรวา “ภคณีที่ 3” ‘ (Moses Ingram) และ ‘ภราดรที่ห้า’ (Sung Kang) เดินทางมาถึงดาวทาทูอีนเพื่อตามหาเจได ในขณะที่โอบีวันก็ทราบว่า ‘เลอา ออร์กานา’ วัยเด็ก (Vivien Lyra Blair) โดยแก๊งของ ‘เวกต์ โนกรู’ (Flea มือเบส ‘Red Hot Chili Peppers’) ลักพาตัวไป ทำให้ลุงเบนต้องออกผจญภัยอีกครั้งในรอบทศวรรษ หลบหนีการไล่ล่าของอินควิซิเตอร์ และได้ทราบความจริงบางอย่างที่ทำให้เขาเองรู้สึกว่า ‘ภัยมืด’ กำลังจะคืบคลานมาถึงเขาอีกครั้ง

จุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้ที่ผู้เขียนสัมผัสได้อย่างหนึ่งก็คือ การพยายามพาซีรีส์กลับไปเป็น Canon ให้กับเส้นเรื่องเวอร์ชันภาพยนตร์หรือที่เรียกกันว่า ‘Skywalker Saga’ นั่นเองครับ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ซีรีส์สองเรื่องแรก แม้จะอยู่ภายใต้เส้นเหตุการณ์เดียวกัน แต่ตัวเนื้อเรื่องนั้นเป็นการเล่าเรื่องราวของตัวละครอื่น ๆ ที่ตีคู่ขนานโดยไม่ได้ปะติดปะต่อกับ Saga หลัก แต่กับซีรีส์เรื่องนี้ ชัดเจนว่าทีมงานพยายามที่จะให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Saga ที่เกิดจากผลกระทบจากไตรภาคต้น และมีผลกระทบไปถึงไตรภาคหลัก (4-5-6) รวมทั้งสปินออฟทั้งหลายทั้งมวลในระหว่างทั้งสองไตรภาคนี้ด้วย

หลักฐานที่ชัดที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการหยิบเอามรดกจากภาพยนตร์ Skywarker Saga มาใช้ตรง ๆ เลย เช่น การใช้ไตเติลเปิด – ปิด ที่ย้อนกลับไปใช้รูปแบบคลาสสิกที่แฟน Star Wars โคตรจะคุ้นเคย ทั้งการปรากฏคำว่า “A long time ago in a galazy far, far away. . . .” (“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ณ กาแล็กซี อันไกลแสนไกล”) และการใช้ตัวหนังสือสีฟ้า วางบนแบ็กกราวด์ภาพอวกาศที่มีดวงดาวระยิบระยับ จะขาดก็แค่โลโก Star Wars สีเหลือง ๆ กับ Opening Crawl (แถบตัวหนังสือบอกชื่อเอพิโซดและเรื่องย่อ) เท่านั้นเอง

Obi-Wan Kenobi

รวมทั้งการใส่ Recap สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเอพิโสด 1-2-3 โดยเฉพาะไทม์ไลน์ของโอบีวัน และอนาคิน และด้วยเงื่อนไขที่ตัวซีรีส์นั้น เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่เล่าต่อมาจากเอพิโสด 3 โดยที่จะไม่ได้มีภาคต่อนี่แหละ ก็ยิ่งทำให้ตัวเรื่องสามารถสำรวจค้นหาเรื่องราวชะตากรรมของโอบีวัน ตัวละครที่แฟน ๆ Star Wars ชื่นชอบ และตัวละครอีกเยอะแยะได้อีกเยอะแยะทั่วจักรวาล รวมทั้งเหตุการณ์หลังจาก Order 66 ก็เป็นไฮไลต์สำคัญที่แฟน ๆ เองก็สนใจใคร่รู้ และรอวันที่เรื่องราวจะถูกเติมเต็มมาโดยตลอด

Obi-Wan Kenobi

ในแง่ของตัวเรื่อง แน่นอนว่าเป็นโจทย์ที่หินสำหรับทีมงานอยู่เหมือนกันนะครับ ใน 2 Ep. แรก จริง ๆ ตัวเรื่องเองถือว่าค่อนข้างเดินช้าเลย แต่ก็ถือว่าเป็นการปูเรื่องให้รู้เรื่องราวของโอบีวัน ผ่านความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสับสน สิ้นหวังของโอบีวัน รวมทั้งการฉายภาพกิจวัตรประจำวันของอดีตปรมาจารย์เจไดที่วนเวียนซ้ำซากราวกับว่าแล้งไร้ซึ่งความหวัง การขับเคลื่อนเรื่องและจังหวะก็เลยถือว่าไปด้วยกันได้ ต่างจากการดำเนินเรื่องที่ชวนสับสนเล็ก ๆ ใน ‘The Book of Boba Fett’ 4 Ep. แรก

Obi-Wan Kenobi

พร้อม ๆ กับการค่อย ๆ สอดแทรกเรื่องราวการไล่ล่าเจไดของอินควิซิเตอร์ ที่จริง ๆ แล้วก็คือเจไดที่แปรพักตร์ที่มีความโหดร้าย และการสอดแทรก Easter Egg ในแบบที่แฟนสตาร์วอร์สรุ่นเก่าและรุ่นใหม่น่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากมากนัก รวมทั้งการ Recap เรื่องราวเก่า ก็เลยทำให้ใน 2 อีพีแรกเป็นการอุ่นเครื่องและปูเรื่อง และก็พยายามจะทำให้เราได้เห็นภาพการล่มสลายของนิกายเจได ที่ทำให้เจไดกลายเป็นเพียงอดีต และตำนานที่ทับซ้อนระหว่างความจริงกับเรื่องโกหก มากกว่าจะมีแอ็กชันลุ้น ๆ ต่อสู้ดุเดือดอย่างที่คุ้นเคยกัน

Obi-Wan Kenobi

ส่วนใน Ep. 3 นี่แหละครับ ที่เริ่มเดินเครื่องการผจญภัยที่ค่อย ๆ ดุเดือดขึ้น จริง ๆ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งใน 2 Ep. แรกก็คือ ฉากแอ็กชันที่ยังไม่ค่อยหวือหวาและไม่ค่อยมีพลังนัก รวมทั้งตรรกะของบางตัวละครที่ชวนให้ขัดใจอยู่บ้าง จนทำให้โดยรวมยังมีความไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ ยังดีที่มี Easter Egg ที่ชวนให้แฟน ๆ ฮือฮาได้ และการผจญภัยระหว่างลุงเบนกับน้องเลอา ก็ถือว่าสนุกใช้ได้เลย จนพอเข้าอีพีที่ 3 แม้จะเริ่มเข้าที่เข้าทางและเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยได้บ้าง และตอนท้ายก็มีอะไรให้พูดถึงอยู่ แต่ก็ยังแอบมีความรู้สึกว่างานแอ็กชันยังไปได้ไม่สุดนิด ๆ เหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไปพีกในครึ่งซีซันหลัง หรือจะกลายเป็นงานเล่าเรื่องยืด ๆ ไปเลยหรือเปล่า

อีกจุดที่ถือว่าต้องชมก็คือ การพัฒนาตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครหลัก ๆ ที่มีไดนามิกที่น่าสนใจครับ อย่างเช่น ‘ยวน แมกเกรเกอร์’ (Ewan McGregor) ในบท ‘โอบีวัน เคโนบี’ ที่กลายมาเป็น ‘เบน’ เป็นอดีตเจไดแก่ ๆ ที่ร่วงโรยทั้งร่างกาย และสิ้นหวังในความรู้สึกจนเก็บเอาไปเป็นฝันร้าย ซึ่งตรงนี้ พี่อีวานสามารถสะท้อนผ่านการแสดง สีหน้า ดวงตา ของคนที่เผชิญความสิ้นหวังจนเก็บเอาไปฝันร้ายได้รันทดดีมาก

Obi-Wan Kenobi

อีกคนที่น่าพูดถึงก็คือน้อง ‘วิเวียน ไลรา แบลร์’ (Vivien Lyra Blair) ที่รับบทหนูน้อยเลอา ชนิดที่เรียกว่านิสัยถอดแบบมาเป๊ะอย่างกับย่อส่วน ทั้งความฉลาดเกินเด็ก พูดจาฉะฉาน นิสัยลุย ๆ รู้เลยว่าเจ้าหญิงเลอานี่ก็คืออดีตเด็กแสบดี ๆ นี่เอง (555) รวมทั้งแก๊งอินควิซิเตอร์ที่หยิบเอาคาแรกเตอร์มาจากแอนิเมชัน ‘Star Wars: The Clone Wars‘ ก็มีการใส่มุมมองของการแย่งชิงอำนาจกันเอง ในช่วงที่ ดาร์ธ เวเดอร์ กำลังจะขึ้นเป็นใหญ่ได้น่าติดตามดี แต่ก็แอบมีจุดน่าเสียดายอยู่นิด ๆ เหมือนกัน และบางตัวละครที่ยังดูทื่อ ๆ ไปหน่อย

Obi-Wan Kenobi

โดยสรุป ตัวซีรีส์ใน 3 อีพีแรก แม้จะยังมีจุดขัดใจและเอาไม่อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการหวนให้ระลึกถึงการผจญภัยแบบฉบับสตาร์ วอร์ส ด้วย Easter Egg จาก Skywalker Saga มาให้แฟน ๆ ได้กรี๊ดกัน ถือว่าเป็นซีรีส์ Star Wars ที่เข้าใกล้เส้นเรื่องหลักในจักรวาลมากที่สุดแล้วล่ะครับ เป็นซีรีส์ที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศตามแบบฉบับไตรภาคต้นได้แบบไม่ผิดเพี้ยน และเติมเรื่องราว รวมทั้งตัวละครใหม่ ๆ ที่ตกสำรวจได้อย่างน่าสนใจ แม้จะเดินเรื่องช้าจนเอื่อยไปสักหน่อยก็ตาม

Obi-Wan Kenobi

อันนี้ผู้เขียนก็หวังแค่ว่า ใน Ep. ต่อ ๆ ไป ซีรีส์จะพาเราไปสำรวจช่วงเวลาอันมืดมิดของเหล่าเจได ที่จะนำไปสู่เอพิโซด 4 และปะติดปะต่อเรื่องราวตำนานแห่งปรมาจารย์เจไดได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม มีจุดพีกให้ร้องว้าวแรง ๆ ได้ พล็อตที่ทรงพลัง น่าเชื่อถือ กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Canon ได้อย่างแนบสนิท เหมือนอย่างที่ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ (2016) ทำได้ หรืออย่างน้อยก็อย่าให้พลาดแบบเดียวกับที่ ‘Solo: A Star Wars Story’ (2018) เคยเป็นก็พอครับ


Obi-Wan Kenobi

ปล. สำหรับแฟน ๆ Star Wars ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว น่าจะดูซีรีส์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ถ้าต้องการจะอินกับตัวละครต่าง ๆ ยิ่งขึ้น รวมทั้งคนที่ไม่ใช่แฟนที่อยากจะลองดู ผู้เขียนขอแนะนำสื่อในจักรวาล Star Wars ให้ไปตามดูกัน ตามลิสต์ด้านล่างนี้ครับ

• ‘Star Wars ไตรภาคต้น’ :-

  • Star Wars: Episode I – The Phantom Menace (1999)
  • Star Wars: Episode II – Attack of the Clones (2002)
  • Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith (2005)

อันนี้แนะนำว่า ถ้าดูได้ก็จะดีมากครับ แม้ว่าจะมี Recap ไว้ให้แล้วในตอนต้น Ep. แรก แต่ถ้าดูแบบเต็ม ๆ ก็จะได้เห็นเรื่องราวต้นกำเนิดสงครามอวกาศ การโค่นล้มอำนาจ การก่อกำเนิดจักรวรรดิกาแล็กติก (Galactic Empire) จุดกำเนิดของตัวละคร ทั้งเหล่าตระกูลสกายวอล์กเกอร์ พัลพาทีน อนาคิน ที่กำลังกลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ รวมทั้งสงครามโคลน (Clone Wars) และการล่มสลายของเจไดจากคำสั่ง ‘Order 66’ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้โอบีวันต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอาศัยอยู่บนดาวทาทูอีนอย่างที่ปรากฏในซีรีส์

• ‘Star Wars: The Clone Wars’ :-

  • Star Wars: The Clone Wars ซีซัน 2 (Ep. 12- 16)
  • Star Wars: The Clone Wars ซีซัน 4 (Ep. 15- 18)
  • Star Wars: The Clone Wars ซีซัน 5 (Ep. 15- 16)

Star Wars แอนิเมชันซีรีส์ที่ยึดโยงจาก Skywalker Saga ที่มีการเติมตัวละคร เรื่องราว ภารกิจใหม่เพิ่มเข้าไป โดยเฉพาะแก๊งอินควิซิเตอร์ (The Inquisitor) ที่พัลพาทีนก่อตั้งเพื่อตามล่าเจได แต่ปัญหาคือมันมีรวมกันเป็นร้อย ๆ ตอนนี่แหละ ถ้าไม่มีเวลา ลองดูเฉพาะซีซันและตอนตามวงเล็บที่ผู้เขียนระบุไว้ได้เลยครับ

• Star Wars Jedi: Fallen Order :-

เกม Star Wars จากค่าย EA ที่แฟน ๆ ชื่นชอบและคะแนนรีวิวก็ดีมากด้วย หลัก ๆ เป็นเรื่องราวเหตุการณ์หลังสิ้นสุดสงครามโคลน 5 ปี ซึ่งจะมีตัวละครหลักเป็นพาดาวัน หรือเจไดฝึกหัดที่ต้องปกปิดตัวจริง ทำงานหาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ เพื่อหนีการตามล่าของแก๊งอินควิซิเตอร์ ซึ่งจะว่าไปมันก็เหมือนเป็นรากฐานของซีรีส์อยู่กลาย ๆ เหมือนกัน จะไม่เล่นก็ได้ แต่ถ้าเล่นก็จะเข้าใจสถานการณ์ที่ลุงเบนกำลังเจอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส