จบไปแล้วกับโชว์ ‘COLDPLAY LIVE BROADCAST FROM BUENOS AIRES’ ของวง Coldplay ที่บรูโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ที่ถ่ายทอดสดคอนเสิร์ต Coldplay’s Music Of The Spheres world tour จาก Buenos Aires’ River Plate stadium ไปทั่วโลกและหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย โดยโรงภาพยนตร์เอสเอฟซีเนม่า (SF CINEMA) ทำหน้าที่ในการเป็นผู้เชื่อมต่อที่ทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าประทับใจนี้ผ่านโรงภาพยนตร์ในระบบเสียงกระหึ่มและภาพที่คมชัด ซึ่งภาพและเสียงที่ถูกถ่ายทอดสดทั่วโลกครั้งนี้ กำกับโดย พอล ดักเดล (Paul Dugdale) ผู้กำกับเจ้าของรางวัล BAFTA และเคยถูกเสนอเข้าชิงรางวัล Grammy มาแล้ว

ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสไปชม Coldplay แสดงสด ๆ ที่ประเทศไทยใน ‘Coldplay : A Head Full of Dreams Tour Live in Bangkok’ เมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ราชมังคลากีฬาสถาน การอยู่ในสเตเดียมและฟังบทเพลงของ Coldplay บรรเลงแบบสด ๆ นั้นเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจไม่รู้ลืม ทั้งการได้ยินท่วงทำนองผ่านหูแบบสด ๆ การได้สัมผัสบรรยากาศตรงหน้าด้วยตาตัวเอง เสพรับพลังจากศิลปินและถ่ายเทพลังร่วมกันระหว่างบรรดาแฟน ๆ เรือนหมื่นที่มารวมตัวกันในวันนั้น ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้สามารถสัมผัสได้ใน ‘COLDPLAY LIVE BROADCAST FROM BUENOS AIRES’

จะว่าไปแล้วการชมคอนเสิร์ตในโรงภาพยนตร์ก็ไม่เลวเลยทีเดียว การได้ดูไลฟ์ของ Coldplay ผ่านการถ่ายทอดสัญญาณสดในโรงภาพยนตร์ แม้ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับการชมสด ๆ ในสถานที่จริงแบบ 100% เนื่องจากไม่ได้กระโดดโลดเต้นและไม่ได้รวมร้องแบบสุดเสียง (คราวหน้าเอสเอฟอาจแนะนำคนที่มาชมว่าให้บ้าได้เต็มที่) แต่ถึงอย่างนั้นผู้ชมที่มารับชมก็มีรีแอ็กไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการปรบมือหรือส่งเสียงฮิ้วทุกครั้งหลังการแสดงบทเพลงสุดฟินจบลง ร้องกรี๊ดไปกับหลายช่วงเวลาที่น่าประทับใจและช่วงเวลาเซอร์ไพรส์ โดยเฉพาะในตอนที่ คริส มาร์ติน (Chris Martin) ประกาศรายชื่อประเทศที่ถ่ายทอดสดในครั้งนี้ซึ่งมีรายชื่อยาวเหยียดเป็นหางว่าวและแน่นอนว่าเมื่อถึงตอนที่คริสพูดชื่อ ‘Thailand’ แฟน ๆ ในโรงหนังก็ปรบมือและร้องเฮกันใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมคอนเสิร์ตอยู่จริง ๆ  เลย นอกจากนี้แฟน ๆ ยังแอบร้องเบา ๆ คลอไปด้วยในทุกบทเพลง (ถ้ามีใครกล้าร้องสุดเสียงออกมาเชื่อว่าก็คงมีคนตามด้วยเช่นกัน)

คอนเสิร์ตเปิดด้วย 2 พิธีกรที่บอกเล่าความเป็นมาของคอนเสิร์ตและการเป็นวงรักษ์โลกของ Coldplay ที่ระบบไฟฟ้าต่าง ๆ นานาในคอนเสิร์ตล้วนแล้วแต่มาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งโซลาร์เซลส์ กังหันลม การเต้น หรือการปั่นจักรยานที่ผู้ชมสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังงานเหล่านี้ได้ หลังจากนั้น Coldplay ก็ปรากฏกายขึ้นมาโดยเริ่มบรรเลงบทเพลงแรก “Higher Power” ที่มาพร้อมแสง สี เสียง การโชว์เลเซอร์ และพลุดอกไม้ไฟสุดอลังการ และมันส์กันต่อด้วย “Adventure of Lifetime” จากนั้น Coldplay ก็ขนเอาเพลงฮิตออกมาบรรเลงต่อเนื่องจุใจไม่ว่าจะเป็น “Paradise” “The Scientist” “Viva la Vida” ก่อนที่จะมาแจมกันกับนักร้องสาว “H.E.R.” ในบทเพลง “Let Somebody Go” ที่เธอขับขานบทเพลงนี้ในสำเนียงอาร์แอนด์บีอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์พร้อมทั้งโซโลกีตาร์ได้บาดลึกถึงใจถึงอารมณ์มาก ๆ  

พอผ่านเพลงซึ้ง ๆ ไปแล้ว คริส มาร์ติน ก็วิ่งมาหยิบกีตาร์ไฟฟ้าและพาเราไปมันส์กับบทเพลงจากอาร์เจนตินา “De música ligera” บทเพลงของสเตอริโอโซดา (Soda Stereo) วงร็อกจากอาร์เจนตินาที่ก่อตั้งวงมาในยุค 80s

ตอนที่ Coldplay เล่นบทเพลง “Yellow” หนึ่งในบทเพลงฮิตที่สุดตลอดกาลของวงทั้งสเตเดียมก็ระยิบระยับไปด้วยแสงจากสายรัดข้อมือ LED ที่กลายเป็นสีเหลืองส่งประกายงดงามท่ามกลางความมืดของค่ำคืน แฟน ๆ ต่างร่วมร้องไปด้วยกันอย่างสุดเสียงและสุดพลัง

แน่นอนว่า Coldplay ไม่พลาดที่จะเอาบทเพลง “My Universe” มาบรรเลงด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งก่อนที่จะเริ่มบทเพลงนี้คริส มาร์ติน ได้กล่าวถึงความในใจว่าในตอนแรกว่าเขากลัวกับการร่วมงานกันในครั้งนี้ ทั้งความแตกต่างทางเชื้อชาติและแนวดนตรี แต่พอได้มาทำงานร่วมกันแล้วกลับพบกับความประทับใจจากความสัมพันธ์ การเรียนรู้กัน ผ่านท่วงทำนองอันงดงามที่ศิลปินจาก 2 ซีกโลกได้มาแบ่งปันร่วมกันในบทเพลง “My Universe” นั่นเอง

จากนั้นวงก็เล่น “A Sky Full of Stars” เป็นเพลงต่อมา ซึ่งในระหว่างเข้าสู่ฮุกแรกอยู่ดี ๆ คริสและวงก็หยุดบรรเลงซะเฉย ๆ ก่อนที่จะบอกให้แฟน ๆ เก็บโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ต่าง ๆ และให้สัมผัสช่วงเวลาที่น่าประทับใจตรงหน้าผ่านสายตาของตัวเอง

หลังจากช่วงเบรกวงก็กลับมาพร้อมบทเพลงแรกจากอัลบั้มแรก “Don’t Panic” อันเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่สมาชิกวงทุกคนโหยหาและทะนุถนอม เรื่องจากมันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้เล่นดนตรีด้วยกันในมุมเล็ก ๆ ในสถานที่เล็ก ๆ ไม่ได้เป็นอารีน่าหรือว่าสเตเดียมอย่างในทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นในทุก ๆ ครั้ง Coldplay จะต้องมีช่วงเวลาหลังเบรกที่ได้เล่นบทเพลงจากอัลบั้มแรกในบรรยากาศที่เป็นกันเองและได้เห็นรอยยิ้มของสมาชิกวงแต่ละคนที่ได้ร้องได้เล่นบทเพลงในสมัยวัยรุ่นของพวกเขา ในจุดเริ่มต้นที่หวนไปนึกถึงความสนุก ความอบอุ่น และความสุขในช่วงเวลาเหล่านั้น และได้พามันกลับมาบนเวทีให้แฟน ๆ ได้สัมผัสและร่วมขับขานมันไปด้วยกัน

บทเพลงต่อมาคือ “Baraye” บทเพลงอิหร่านของนักร้องหนุ่ม เชอร์วิน ฮาจิปอร์ (Shervin Hajipour ) ที่ได้ กอลชิฟเตห์ ฟาราห์นี (Golshifteh Farahni) นักร้องสาวชาวอิหร่านมาร่วมขับขานบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความหมายนี้

วง Coldplay ไม่ได้แค่รักษ์โลกเท่านั้นหากแต่ยังรักเพื่อนมนุษย์ทุกชนชาติ ชั้นชน สีผิว เผ่าพันธุ์ รวมไปถึงผองเพื่อนต่างดาวด้วย ดังเราจะเห็นได้ว่าในคอนเสิร์ตของ Coldplay จะมีวง ‘The Weirdos’ เป็นวงดนตรีหุ่นมือจากต่างดาวที่สร้างขึ้นโดยวง Coldplay และบริษัทสเปเชียลเอฟเฟกต์/วิชวลเอฟเฟกต์ของจิม เฮนสัน (Jim Henson’s Creature Shop) นักสร้างและนักเชิดหุ่นมือชาวอเมริกัน ผู้สร้างตัวละคร Kermit the Frog และ The Muppets มาร่วมแจมด้วยเสมอในบทเพลงที่สื่อถึงความงดงามของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล

แขกรับเชิญบนเวทีนี้เป็นเครื่องยืนยันอันดีถึงการรักษ์โลกและรักผองเพื่อนของ Coldplay พวกเขาใช้ดนตรีเป็นการเชื่อมร้อยผู้คนที่แตกต่างเข้ามาหากัน และร่วมสร้างสรรค์พลังอันงดงามเพื่อแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และถ่ายทอดให้กันทั้งระหว่างศิลปินต่อศิลปินและศิลปินกับแฟนเพลง หลังจากจบเพลง “Fix You” หนึ่งในบทเพลงอันงดงามที่คริส มาร์ตินแต่งให้กับนักแสดงสาว กวินเน็ธ พัลโทรว์ (Gwyneth Paltrow) ในช่วงเวลาอ่อนไหวจากการสูญเสียบุคคลที่รักไป ท่วงทำนองอันอ่อนโยนแต่หนักแน่นของบทเพลงนี้ดังกึกก้องไปทั่ว จากนั้นก็มาถึงวินาทีเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่บนเวทีนี้เมื่อ จิน (Jin) นักร้องหนุ่มจากวง ‘BTS’ ได้ขึ้นเวทีมาร่วมขับขานบทเพลงใหม่ “The Astronaut” ไปกับ Coldplay เพื่อมอบเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณให้กับแฟน ๆ คริสบอกว่าครั้งนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ ‘น้องชาย’ ของเขาจะได้มาขับขานบทเพลงที่ได้ทำร่วมกันบนเวทีนี้ ก่อนที่จะออกไปรับใช้ชาติในกองทัพเกาหลีเป็นเวลา 2 ปี จินได้ปรากฏกายขึ้นมาท่ามกลางเสียงกรี๊ดต้อนรับจากแฟน ๆ จินและ Coldplay ถ่ายทอดบทเพลงออกมาอย่างงดงาม ภาพแห่งความประทับใจเกิดขึ้นมากมาย ทั้งตอนที่จินวิ่งเข้าไปกอดกับคริส ตอนที่จินกับคริสร้องเพลงนี้ร่วมกันและเหมือนคริสจะจำเนื้อร้องผิดไป จนจินหัวเราะออกมาคำใหญ่ เป็นภาพความทรงจำที่จะอยู่กับแฟน ๆ ต่อไปในวันที่นักบินอวกาศ ‘จิน’ คนนี้ได้ออกผจญภัยครั้งใหม่ ก่อนที่จะกลับมายังบ้านอันอบอุ่นหลังเดิมของเขาและสร้างความสุขให้กับทุก ๆ คนต่อไป

จากนั้นก็มาถึงบทเพลงสุดท้ายในคอนเสิร์ตกับบทเพลง “Biutyful” ที่ได้ผองเพื่อนต่างดาว The Weirdo มาร่วมแจมอย่างงดงาม  “ความรัก” คือสิ่งที่ Coldplay เชิดชู คือสิ่งที่พวกเขาเชื่อมัน และถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลง นั่นคือเหตุผลที่ข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่ในท้ายคอนเสิร์ตว่า “จงเชื่อในความรัก” (Believe In Love) Coldplay เชื่อในความรักที่มีต่อเพื่อนพ้องในวง รักที่มีต่อครอบครัว รักที่มีต่อแฟนเพลง และรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ นอกจากนี้การสร้างวงมนุษย์ต่างดาวให้มาร่วมแจมในบทเพลงของวง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าความรักที่พวกเขามีพร้อมที่จะข้ามกำแพงของความต่าง (ต่างแม้ในระดับของดวงดาวเหมือนดังข้อความที่ขึ้นอยู่บนเสื้อของพวกเขาที่แปลได้ใจความว่า “เราต่างเป็นเอเลียนของที่ใดที่หนึ่ง” นั่นหมายความว่าในมุมมองของเรา เราอาจจะมองคนอื่นเป็นเอเลียน แต่ในมุมมองของคนอื่นเราก็อาจจะเป็นเอเลียนสำหรับเขาด้วยเช่นกัน นั่นคือความรู้สึกแรกเวลาเราพบเจอกับคนที่ไม่เหมือนกันกับเรา แต่เมื่อเราได้มาทำความรู้จักซึ่งกันและกันเราก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ร่วมกันนั่นเอง

โดยรวมแล้วนับว่าการชมคอนเสิร์ตแบบสด ๆ ผ่านโรงภาพยนตร์เอสเอฟในครั้งนี้เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก ยังจำได้ดีถึงตอนที่ Coldplay มาเล่นที่ไทยตอนนั้น การได้ไปอยู่ ณ จุดนั้นมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมจริง ๆ ถึงแม้การชมในโรงภาพยนตร์อาจจะไม่เหมือนกับการชมในสถานที่จริงซึ่งมีศิลปินปรากฏอยู่ตรงหน้าและมีแฟนเพลงจำนวนมหาศาลมาร่วมร้องร่วมเต้นไปด้วยกัน แต่อย่างน้อยการชมคอนเสิร์ตในโรงภาพยนตร์ก็ได้มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเชื่อมร้อยเราเข้ากับช่วงเวลาที่ไม่ควรพลาด ซึ่งคงน่าเสียดายหากไม่มีการถ่ายทอดสดในครั้งนี้ เราก็คงไม่ได้ชมภาพประทับใจจากโชว์ครั้งสำคัญของวง Coldplay ในบรรยากาศแบบสด ๆ อย่างแน่นอน.

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส