หนังอนิเมชั่นของยอน ซังโฮ ผู้กำกับเดียวกันกับ Train To Busan เดิมทียอน ก็สร้างชื่อตัวเองมาจากสายอนิเมชั่นอยู่แล้ว เคยมีผลงานเป็นที่กล่าวขวัญอย่าง The King of Pigs (2011) และ The Fake (2013) พอเปลี่ยนแนวมาทำหนังคนแสดงอย่าง Train To Busan แล้วฮิตเปรี้ยงปร้างก็เลยไปหยิบ Seoul Station มาลงโรงฉายวงกว้าง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นหนังที่ตระเวนฉายตามเทศกาลหนัง

Seoulyeok

ก่อนดูไปอ่านข่าวมาผิด ๆ ว่าหนังจะเล่าเรื่องหญิงสาวที่ติดเชื้อตัวต้นเหตุที่วิ่งมาขึ้นรถไฟใน Train To Busan แต่พอได้ดูกลับไม่เป็นเช่นนั้น หนังไปเล่าเหตุการณ์อีกมุมหนึ่งในโซล ในคืนก่อนหน้าเหตุการณ์ใน Train To Busan รอบนี้ไปเล่าเรื่องราวของชนชั้นระดับล่างในโซล ทั้งโสเภณีและคนจรจัด เฮซอน เป็นอดีตโสเภณี ที่มาอาศัยอยู่กับ จิวุง แฟนของเธอที่วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในร้านเกมไม่เป็นอันทำงาน หารายได้ด้วยการเอาภาพไปเฮซอนไปโพสต์ขายบริการ จนบังเอิญให้พ่อของเฮซอน ไปเห็นภาพของลูกสาวเลยล่อซื้อ ได้เจอกับจิวุง พ่อจึงบังคับให้จิวุงพาเขาไปหาลูกสาว ก็พอดีกับเหตุการณ์ผู้ติดเชื้อซอมบี้เริ่มแพร่ระบาด ทำให้เฮซอนต้องติดสอยหนีตายไปกับกลุ่มคนจรจัด ส่วนจิวุงกับพ่อก็ติดต่อเธอได้ทางมือถือและพยายามตามหาเฮซอน

fullsizephoto748130

บทหนังเขียนให้เกิดสถานการณ์คับขัน ตัวละครจนมุมอยู่หลายครั้ง ต้องหนีตายกันแบบฉิวเฉียด เล่นกับอารมณ์คนดูแรง ๆ ด้วยการสร้างตัวละครเป็นอัศวินกู้สถานการณ์ขึ้นมา ดูเป็นที่พึ่งแต่แล้วก็ฆ่าทิ้งเสีย จุดที่ดีที่สุดคือการหักมุมเรื่องราวพลิกให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิมในช่วงค่อนเรื่อง แต่ปัญหาหลักของเรื่องอยู่ที่ความละเอียดของลายเส้น ซึ่งเราคุ้นเคยกันกับอนิเมชั่นจากฮอลลีวู้ดหรือญี่ปุ่น ที่ช่วงหลังผนวกเทคโนโลยีโมชั่นแคปเจอร์ไปอีก ยิ่งทำให้เนียนสมจริงไปมาก ยิ่งสมจริงมากศักยภาพในการดึงอารมณ์ร่วมจากคนดูก็ยิ่งมากขึ้น จึงไม่แปลกที่เราดูอนิเมชั่นแล้วจะร้องไห้ได้

f94f1bff36437b057a2ae1cfbacce730

Seoul Station ที่เป็นอนิเมชั่นเกาหลีเรื่องแรกที่ผมได้ดูเลย เห็นชัดว่ายังตามหลังฮอลลีวู้ดและญี่ปุ่นอยู่ไกลมาก ลายเส้นหยาบและไม่ลงรายละเอียดในแต่ละพื้นผิวเลย ตัวละครเคลื่อนไหวแข็ง ขาดความนุ่มนวล โดยเฉพาะฉากวิ่งนี่ดูสะดุดมาก ด้วยความที่เป็นหนังการ์ตูนซึ่งแทบจะเป็นโอกาสเปิดกว้างแบบอิสระที่ผู้เขียนจะเขียนให้เกิดสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นในเรื่องราวก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงงบประมาณการสร้าง แต่หนังก็ไม่ได้ใช้ข้อได้เปรียบในจุดนี้แต่อย่างใด ไม่ได้มีฉากที่ดูหวือหวาเกินกว่าที่หนังคนแสดงจริงจะทำได้ ในแต่ละฉากตื่นเต้นเมื่อได้ภาพที่เป็นจุดด้อยแทบจะเป็นการ์ตูน 2 มิติลงสีก็เลยพาอารมณ์ไปได้ไม่ถึงจุดที่ควร จุดที่ดูแล้วขัดใจมากคือการขาดความสมจริงตัวละครวิ่งหนีซอมบี้ผ่านกี่ประตูก็ไม่ปิดประตูกันซอมบี้ แม้กระทั่งวิ่งหนีขึ้นรถก็ยังไม่ปิดประตูรถนะ ด้วยเนื้อหาของหนังนี่ ถ้าเอาไปสร้างเป็นหน้งคนแสดง หรือเป็น Train To Busan อีกภาคนี่ถือว่าเป็นหนังซอมบี้ที่สนุกเอาการเลย แต่พอมาเป็นอนิเมชั่นที่งานภาพพาอารมณ์ไปไม่ถึงก็เลยน่าเสียดาย

ลายเส้นที่ผมว่าหยาบ ขาดรายละเอียด เคลื่อนไหวไม่สมูธ นั่นมันเป็นอย่างไร ลองตัดสินดูจากตัวอย่างหนังที่แปะมาข้างล่างนี่ก็ได้ครับ หนังสั้นแค่ 93 นาที จะลงโปรแกรมฉายวันที่ 15 กันยายน นี้ครับ

 

Play video