ในกีฬาฟุตบอล ภาพจำสำหรับการเลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้คือการโยกตัวหลอกให้แนวรับเสียหลัก แล้วก็เลี้ยงบอลผ่านไป ไม่ก็แตะบอลไปข้างหน้า แล้วใช้ความเร็วเข้าห้ำหั่นวิ่งแซง… แต่สิ่งที่มิโตมะทำ ‘บางครั้ง’ มันต่างออกไป เขาไม่ต้องหลอกคุณเลย แค่คุณยืนตั้งท่าเฉย ๆ ก็เปิดจุดอ่อนให้เขาเห็นโดยที่ไม่รู้ตัวไปแล้ว และ ‘คาโอรุ มิโตมะ’ ทำได้อย่างไร วันนี้เราไปแบไต๋กัน

แต่ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่มิโตมะทำ ผมจำเป็นต้องเขียนเล่าเสียหน่อยว่า ‘คาโอรุ มิโตมะ’ คือใคร

คาโอรุ มิโตมะ (Kaoru Mitoma) เป็นนักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น วัย 25 ปี ปัจจุบันสังกัดทีม ‘ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน’ (Brighton & Hove Albion FC) ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษนี้ขึ้นชื่อว่าโหดหินและยากมากที่จะได้เล่น เป็นความฝันของนักฟุตบอลทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก 27 พฤษภาคม 2535 จนวันนี้ปี 2566 กว่า 31 ปี มีนักเตะเอเชียได้เล่นพรีเมียร์ลีกแค่ 38 คนเท่านั้น

มิโตตะประเดิมสนามพรีเมียร์ลีกนัดแรกในเจอกับนิวคาสเซิล

โดยสิ่งที่ทำให้มิโตมะถูกจับตามองคือทักษะการเลี้ยงบอลที่เอกอุ โดยเฉพาะการเผาแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ของลิเวอร์พูล ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแบ็กขวาระดับต้น ๆ ของลีกแบบเสียผู้เสียคน จากนั้นเขาก็เริ่มมีชื่อเป็นผู้ทำประตูบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญแต่ละประตูของเขามันสวยงามราวกับหลุดมาจากมังงะญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ลูกยิงสุดสวยของมิโตมะที่ตะบันใส่เลสเตอร์ ซิตี้

แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนอ้าปากค้างคือการที่เขาปฏิเสธสัญญานักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 19 จาก คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ (Kawasaki Frontale) ยอดทีมในเจลีกที่คว้าแชมป์ลีกไปแล้วถึง 4 สมัย เพื่อขอเรียนต่อให้จบก่อน ซึ่งการเรียนต่อของเขานั้นเขาได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการเลี้ยงฟุตบอล เขาอยากรู้ว่าคนที่เลี้ยงฟุตบอลเก่ง ๆ นั้นทำได้อย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรบ้าง และดูเหมือนว่ามิโตมะจะหาคำตอบได้แล้ว…

อ้างอิงจากเว็บไซต์ 90 min มิโตะพูดเกี่ยวกับเคล็ดลับและวิทยานิพนธ์ด้านการเลี้ยงฟุตบอลของเขาว่า “I am conscious of shifting the opponent’s centre of gravity. If I can move the opponent’s body, I win.” ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ “ผมพยายามจดจ่ออยู่กับจุดศูนย์ถ่วงของคู่ต่อสู้ ถ้าผมสามารถขยับจุดศูนย์ถ่วงนั้นได้ ผมชนะ”

ฟังดูก็ไม่ต่างจากเบสิกฟุตบอลทั่วไป ‘โยกซ้าย-ออกขวา’ หรือ ‘โยกขวา-ออกซ้าย’ ไปจนถึง ‘Scissor’ และ ‘Step Over’ หรือแปลไทยก็ ‘สับขาหลอก’ แบบที่พวกเราคุ้นกัน จนทำให้คู่ต่อสู้เสียหลักขยับศูนย์ถ่วงไปทางใดทางหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยงบอลไปในทิศทางตรงข้าม หากสิ่งที่มิโตมะทำมีแค่นั้นจริง ๆ โลกฟุตบอลคงไม่โดนดาวเตะญี่ปุ่นวัย 25 ปีหลอกกันขนาดนี้ เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้ทำแบบทั้งหมด เพราะบางครั้งเขาแค่ยืนเฉย ๆ ด้วยซ้ำ แต่อยู่ดี ๆ กองหลังก็ตามไม่ทันแล้ว ดังคลิปด้านใต้นี้ในนาทีที่ 2.16 

https://www.youtube.com/watch?v=ccshLWxVGgU&t=24s
ลองไปดูนาทีที่ 2.16 เมื่อมิโตมะยืนเฉย ๆ แล้วก็ฉีกหนีคู่แข่งไปแบบต่อหน้าต่อตา

ศูนย์ถ่วงคืออะไร

เรามาอธิบายกันก่อนว่า ’ศูนย์ถ่วง’ หรือที่มิโตมะบอกว่า ‘Centre of Gravity’ นั้นคืออะไร แปลง่าย ๆ ก็คือ ’จุดที่คุณทิ้งน้ำหนัก หรือถ่วงน้ำหนักลงไป’ ยกตัวอย่างถ้าคุณต้องการจะพุ่งตัวไปข้างหน้า ธรรมชาติคุณจะก้าวขาถอยหลังไป แล้วก็ทิ้งน้ำหนักไปที่ขาที่ถอย เพื่อระเบิดพลังพุ่งตัวออกไป นั่นก็หมายความว่าศูนย์ถ่วงของคุณอยู่ที่ขาข้างที่ถอยหลัง หรือตัวอย่างที่ง่ายกว่านั้นเวลาคุณจะกระโดด คุณก็จะทิ้งน้ำหนักลงไปที่ขา 2 ข้าง เพื่อจะได้มีแรงกระโดด นั่นก็หมายความว่าศูนย์ถ่วงของคุณอยู่ที่ขา 2 ข้าง

สัมพันธ์กับเทคนิคของมิโตมะอย่างไร

ในกีฬาฟุตบอล เมื่อคุณโดนคู่ต่อสู้เลี้ยงบอลเข้าใส่ ธรรมชาติกองหลังที่ถูกฝึกฝนมา จะพยายามดีเลย์ตัวรุกด้วยการย่อตัวให้ต่ำลง ก้าวขาสั้นขึ้น รวมไปถึงฟุตเวิร์กไปด้วยเพื่อให้การออกตัวคล่องแคล่วกว่าเดิม พูดง่าย ๆ ก็คือหากแนวรุกแตะหนีไปไม่ว่าจะซ้าย หรือขวา ผู้เล่นเกมรับก็จะได้พุ่งตัวเพื่อเข้าสกัด หรือเข้าแย่งบอลได้… นั่นหมายความว่าทุกย่างก้าวของคุณจะมีศูนย์ถ่วงเกิดขึ้น 

สิ่งที่มิโตมะทำมี 2 วิธี

1. ทำตามที่เขาอธิบายเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ คือใช้ ‘body feint’ หรือ ‘การโยกตัวหลอก’ เข้าช่วย ทำให้กองหลังต้องทิ้งศูนย์ถ่วงไปข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไปฝั่งตรงข้าม แค่นั้นกองหลังก็โดนเลี้ยงผ่านไปแล้ว ซึ่งวิธีนี้นอกจากมิโตมะแล้ว ผู้เล่นระดับโลกที่เก่งกาจมากในเรื่องนี้คือ ลิโอเนล เมสซี่ ยอดดาวเตะที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติเคยมีมา โดยปกติ ‘เมสซี่’ ไม่ค่อยโชว์ทริกอะไร เขาแค่โยกตัวนิดหน่อยกองหลังก็ลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว… แต่เอาจริงวิธีนี้ไม่ได้ว้าวเท่าไหร่ เพราะทำกันอยู่ทั่วไป แต่อีกวิธีนี่สิ ที่ต้องบอกว่าแทบจะเหนือมนุษย์

วินาทีที่ 20 มิโตมะใช้ขาหลอกให้เทรนต์เคลื่อนศูนย์ถ่วงจากนั้นก็กระชากหนีไป

2. เขายืนเฉย ๆ และ ‘สังเกต’ ดูว่าศูนย์ถ่วงของผู้เล่นเกมรับอยู่ตรงไหน โดยที่ไม่ได้หลอกล่ออะไร พอได้จังหวะก็เปลี่ยนสปีดหนีไปอย่างเลือดเย็น ต้องอธิบายว่าเมื่อคุณฟุตเวิร์ก หรือก้าวเดิน ก้าวขา มันจะมีศูนย์ถ่วงเกิดขึ้น สิ่งที่มิโตมะทำคือเขาดูว่าศูนย์ถ่วงของคุณอยู่จังหวะยก หรือจังหวะตก

พูดง่าย ๆ คือในจังหวะที่คุณกำลังยืนฟุตเวิร์ก หรือตั้งท่าเตรียมตัวรับมืออยู่ ศูนย์ถ่วงคุณจะเคลื่อนขึ้น-ลง เพื่อถ่ายเทน้ำหนักเตรียมออกตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว… มิโตมะจะอ่านว่าศูนย์ถ่วงของคุณอยู่จังหวะอะไร ถ้าเป็นจังหวะยก มิโตมะจะกระชากหายไปเลย ซึ่งกว่าคุณจะออกตัวตามไปก็ต้องรอเสี้ยววินาทีให้ศูนย์ถ่วงของคุณลงมาที่พื้นเพื่อระเบิดพุ่งตัวออกไป และนั่นก็ช้าไปแล้ว


ให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม ถ้าเป็นจังหวะฟุตเวิร์ก มิโตมะแค่รอจังหวะที่เท้าคุณลอยจากพื้น จากนั้นเขาก็ออกตัวไปเลย แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม กว่าคุณจะวิ่งตามได้ก็ต้องรอให้เท้าคุณลงมาแตะพื้น

ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้หลอกเราเลย แค่รอจังหวะที่ศูนย์ถ่วงของเราขึ้น – ลง เท่านั้นเอง ลองดูคลิปนี้ในนาทีที่ 1.16 มิโตมะแค่ครองบอลแล้วรอจังหวะที่ขาซ้ายของกองหลังยกขึ้นแล้วก็แตะออกไปในตอนที่ขาอีกฝั่งถึงพื้น ซึ่งกว่าจะออกตัวได้กองหลังก็ช้าไปครึ่งจังหวะแล้ว หรือ 2.16 มิโตมะรอจังหวะที่กองหลังยกขาขึ้น แล้วเขาก็เปลี่ยนสปีดหนีไปเลย

https://www.youtube.com/watch?v=ccshLWxVGgU&t=24s
นาทีที่ 1.16 และ 2.16 สังเกตว่าสายตาของมิโตมะมองที่ขาและเท้าเพื่ออ่านศูนย์ถ่วงของกองหลัง

ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับที่มิโตมะพูดอธิบายเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของตัวเองเหมือนกัน “I learned that the good players weren’t looking at the ball, They would look ahead, trap the ball without looking down at their feet. That was the difference.”

“สิ่งที่ผมเรียนรู้จากผู้เล่นที่เลี้ยงบอลได้ดีคือพวกเขาไม่ได้มองบอล พวกเขาจะเงยหน้ามองคู่ต่อสู้ พูดง่าย ๆ คือจังหวะที่เท้าสัมผัสบอลเขาไม่ต้องมองเลย และนั่นคือความแตกต่าง”

โดยข้อสรุปนี้มาจากการที่มิโตมะติดกล้อง GoPro ไว้ที่ผู้เล่นเพื่อดูว่าเวลาลงสนาม สายตา หรือมุมมองของผู้เล่นอยู่ตรงไหน ในช่วงที่เขาศึกษาเพื่อทำวิทยานิพนธ์นี้ และถ้าเราสังเกตสายตามิโตมะให้ดี จะพบว่าเขามักจะมองที่ขาของคู่ต่อสู้

คำถามคือจะรับมืออย่างไร

ในเกมที่ไบรตันเอาชนะลิเวอร์พูลได้ 2 ประตูต่อ 1 ซึ่งเกมนั้นมิโตมะก็ยิงประตูชัยสุดสวย ด้วยการหลอก ‘โจ โกเมซ’ (Jo Gomez) กองหลังของลิเวอร์พูลแล้วยิงแสกหน้าประตูเข้า แต่หากตัดจังหวะนั้นออกไป ตลอดเกมมิโตมะโดนโคนาเต้ทำลายจังหวะบ่อยมาก จากกองหลังอีกคนหนึ่งนั่นก็คือ ‘อิบราฮิมา โคนาเต้’ (Ibrahima Konate) เพราะโคนาเต้ไม่ได้รอจังหวะ แต่วิ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วราวกับวัวกระทิงจนทำให้มิโตมะไม่ได้เล่นฟุตบอลที่ตัวเองถนัด ที่สำคัญโคนาเต้มีทั้งความเร็ว และความแข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าแม้มิโตมะจะเร็ว และพลิ้ว แต่เมื่อโดนนักฟุตบอลที่สูงเกือบ 2 เมตร (194 เซนติเมตร) เข้าคลุกวงใน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรอดผ่านไป

อิบราฮิมา โคนาเต้

สรุปก็คืออย่าให้มิโตมะได้ตั้งตัว และบีบให้เขาต้องเร่งจังหวะตัวเองจนนำไปสู่ความผิดพลาด หรือไม่ก็หลอกศูนย์ถ่วงโดยแกล้งว่าจะเคลื่อนศูนย์ถ่วงไปทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้มิโตมะไปทางที่ ‘เราต้องการ’ และตามไปสกัด อย่างในคลิปด้านล่างนาทีที่ 1.19 โคนาเต้หลอกว่าจะเข้าไปปะทะ มิโตมะเห็นดังนั้นก็เลยจะเดาะบอลข้ามหัว แต่กลายเป็นว่าโคนาเต้หลอกด้วยการหยุดกึก! สุดท้ายบอลก็โดนสกัดได้ จากนั้นแนวรับชาวฝรั่งเศสก็รีบเข้าคลุกวงในจนสกัดบอลออกไปได้สำเร็จ 

https://www.youtube.com/watch?v=mLOYR0oF12E

ตัวอย่างการเข้าสกัดแบบมีชั้นเชิงนาทีที่ 1.19

แต่ก็อย่าลืมว่าในวงการฟุตบอลมันมีคำว่า ‘เข้าพรวด’ อยู่ ความหมายคือ วิ่งเข้าบอลไปแบบดื้อ ๆ ไม่มีทรง ๆ จนสุดท้ายโดยหลอกหลังหัก ดังนั้นการที่จะเข้าคลุกวงในใส่มิโตมะ ควรจะมีเชิงเสียหน่อย (เช่นโคนาเต้) ไม่ใช่วิ่งเข้าไปดื้อ ๆ ไม่งั้นไม่ต้องถึงมิโตมะหรอก ในการเล่นฟุตบอลสมัครเล่นทั่วไปก็สามารถเลี้ยงหลบได้ไม่ยาก

ตัวอย่างการเข้าพรวดนาทีที่ 2.30 

อะไรคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมิโตมะ

ในมุมมองของผู้เขียนมองว่าคาโอรุ มิโตมะ ความเก่งกาจของเขาคือ ‘ความนิ่ง ความสุขุม’ และที่สำคัญคือ ‘ใจถึง’ คนเล่นบอลจะรู้ดีว่าในสนามฟุตบอลจริง ๆ ระยะเวลาที่เราจะทำอะไรกับฟุตบอลนั้นมีไม่มาก เพราะคู่ต่อสู้พร้อมจะเข้ามาแย่ง มาทำลายจังหวะของเราอยู่แล้ว ดังนั้นการที่มิโตมะสามารถมีสติในเสี้ยววินาทีเพื่อจะอ่านศูนย์ถ่วงแล้วเอาชนะ ต้องบอกว่าร้ายกาจมากจริง ๆ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่เรื่องอ่านศูนย์ถ่วงเท่านั้น ย้อนกลับไปตอนที่ ‘มิโตมะ’ ยิงประตูใส่เอฟเวอร์ตัน เจ้าตัวพูดเกี่ยวกับประตูนี้ว่า “It was instinct, rather than a thought process.” แปลได้ว่า “ผมใช้สัญชาตญาณมากกว่าความคิด”

ลูกยิงเอฟเวอร์ตันที่มิโตมะบอกว่ามาจากสัญชาตญาณมากกว่ากระบวนการคิด

ส่วนเรื่องของความใจถึง แฟนฟุตบอลคงไม่มีวันลืมแมตช์สนั่นโลกในฟุตบอลโลก 2022 ที่ญี่ปุ่นเอาชนะสเปน 2-1 นอกจากเรื่องสกอร์แล้ว สิ่งที่คนพูดถึงกันมากคือลูกแอสซิตส์ของมิโตมะ ที่วิ่งตามไปจนสุดเส้นทำให้บอลที่กำลังจะออกนอกสนามไปแล้ว กลับมาในสนามและทำให้ญี่ปุ่นได้ประตู ต้องยอมรับเลยว่ามิโตมะ ‘ใจถึง’ จริง ๆ

ขอปิดท้ายด้วยความกล้าหาญของดาวเตะญี่ปุ่นวัย 25 ปีที่นาทีสุดท้าย ชี้เป็นตายว่าจะชนะหรือไม่ ในจังหวะจ่อ ๆ หน้าประตู แทนที่จะซัดเต็มข้อเข้าไป แต่มิโตมะใช้ ทักษะ ความนิ่ง และความเลือดเย็น จับบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก ก่อนจะกระดกหลบกองหลัง แล้วดีดบอลเร็วแสกหน้า ‘อลิสซอน เบคเกอร์’ (Alisson Becker) 1 ในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกเข้าไปอย่างสวยงาม

หลังจากนี้ก็น่าติดตามมาก ๆ ว่าอนาคตของ ‘คาโอรุ มิโตมะ’ จะสวยงามขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ ‘ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน’ (Brighton & Hove Albion FC) สโมสรปัจจุบันที่เขาสังกัดอยู่ดูจะเล็กเกินไปสำหรับเขาแล้ว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส