หกหนุ่ม OneRepublic นำทีมโดยฟรอนต์แมนของวง ไรอัน เทดเดอร์ (Ryan Tedder) กลับมาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเราอีกครั้งที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2022 หลังว่างเว้นจากคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19

หลังโชว์ช่วง Opening act ของ Jessia เสร็จสิ้น เวลาประมาณ 21.00 น. OneRepublic ก็ขึ้นสู่เวทีพร้อมเปิดคอนเสิร์ตด้วยสองเพลงฮิตจากอัลบั้ม ‘Waking Up’ อย่าง “Secrets” และ “Good Life” 

ประเทศไทยถือเป็นหมุดหมายสำคัญของเทดเดอร์และเพื่อน ๆ เพราะก่อนหน้านี้ นักร้องและโปรดิวเซอร์คนดังเคยบินมาใช้เวลาส่วนตัวช่วงปีใหม่ที่ภูเก็ต ก่อนจะติดใจบินกลับมาอีกครั้งก่อนจะเริ่มเอเชียทัวร์ในครั้งนี้ ซึ่งเทดเดอร์ก็ได้กล่าวทักทายแฟนเพลงไทยครั้งแรก ก่อนจะปากหวานใส่ว่า ประเทศไทยถือเป็นสถานที่ที่ติดอยู่ในใจของเขาและวงเสมอมา

“นี่คือโชว์ที่เราขอเรียกว่า ‘โชว์เพลงฮิต’ ของพวกเราล่ะกันนะ ยังมีอีกหลายเพลงที่เราจะเล่นให้พวกคุณฟังวันนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในจักรวาลนี้ อาหารก็เยี่ยม สถานที่ก็ยอด พวกเราชอบมาที่นี่มากเลย”

OneRepublic ต่อเนื่องท่วงทำนองแห่งความสนุกด้วยสี่เพลงดังอย่าง “Stop and Stare”, “Rescue Me”, “Wherever I Go” และ “Love Runs Out”

นอกจากบทบาทฟรอนต์แมนของวงแล้ว คนที่ติดตามวงการเพลงคงจะทราบดีว่า เทดเดอร์สวมหมวกอีกใบคือการเป็นโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงให้ศิลปินดัง ๆ มากมาย มีหลายบทเพลงเมกาฮิตที่ผ่านปลายปากกาและชั้นเชิงทางด้านดนตรีของผู้ชายคนนี้ ซึ่งในช่วงกลางของโชว์ทเทดเดอร์ก็ได้หยิบเพลงฮิตหลาย ๆ เพลงที่เขาเคยแต่งและโปรดิวซ์ มาร้องสด ๆ ให้กับแฟนเพลงชาวไทยได้ฟัง

“นอกจากการเป็นนักร้องของวงนี้ ผมรับหน้าที่แต่งเพลงให้คนอื่นด้วย ซึ่งวันนี้ผมจะมาร้องเพลงฮิต ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผมเป็นคนแต่ง”

เทดเดอร์เปิดหัวช่วงนี้ด้วยเพลงฮิตของ บียอนเซ (Beyonce) อย่าง “Halo” ซึ่งเขาเล่าว่า นี่คือเพลงที่เปรียบเสมือนจดหมายรักจากบีซอนเซถึงเจย์-ซี (Jay-Z) สามีของเธอ 

“Bleeding Love” บทเพลงฮิตของ เลโอนา ลูวิส (Leona Lewis) ก็เป็นอีกเพลงที่เทดเดอร์หยิบขึ้นมาร้อง ก่อนจะต่อเนื่องด้วยเพลงที่เขาเขียนร่วมกับ อะเดล (Adele) อย่าง “Rumour Has It” ซึ่งเทดเดอร์เล่าถึงเบื้องหลังการแต่งเพลงนี้กับอะเดลว่า

“วันนั้นผมกับอะเดลมีคิวแต่งเพลงด้วยกันที่แอลเอ แล้วจู่ ๆ เธอก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์ ซึ่งพอเธอเดินกลับมา เธอก็จุดบุหรี่สูบแล้วพูดว่า ‘ขอโทษทีนะ วันนี้ฉันไม่มีมู้ดจะเขียนเพลงแล้ว’ แล้วผมก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็เล่าว่ามีเพื่อนของเธอคนหนึ่งโทรมาหาจากอังกฤษ พร้อมกับข่าวลือบางอย่างที่ทำเธอเสียอารมณ์มาก ๆ ซึ่งพอผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็บอกเธอไปว่า ‘ช่างมัน มาลุยกันเถอะ’ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงผ่านไป พวกเราก็ได้เพลงนี้ออกมา”

เทดเดอร์ปิดท้ายช่วงนี้ด้วยสองเพลงสนุกอย่าง “THATS WHAT I WANT” ผลงานของ Lil Nas X และ “Sucker” ของสามพี่น้อง Jonas Brothers

ช่วงท้าย OneRepublic ขนเพลงฮิตมากระหน่ำใส่คนดูชนิดจัดเต็ม ทั้ง “Sunshine”, “I Ain’t Worried” เพลงฮิตจากหนัง ‘Top Gun: Maverick’, “Apologize” และ “I Lived” 

ตลอดทั้งโชว์สัมผัสได้ว่าเทดเดอร์และสมาชิกในวงดูสนุกและเต็มที่กับการแสดงที่เมืองไทยอย่างมาก แถมพวกเขาดูอินกับการมาเล่นที่บ้านเรามากกว่าครั้งก่อน ๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งเทดเดอร์เล่าประสบการณ์ชวนขำ ที่เขาไปพูด “ขอบคุณครับ” ใส่คนที่โรงแรมขณะพักอยู่ที่เมืองไทยว่า

“เรื่องนี้ตลกมาก ทุกครั้งที่มาไทยผมคอยบังคับให้ตัวเองพูดว่า ‘ขอบคุณครับ’ ให้ถูกเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมพูด ‘ขอบคุณครับ’ ใส่คนที่โรงแรม แล้วจู่ ๆ เขาก็บอกผมว่า ‘ไม่ ๆ คุณพูดแบบนั้นไม่ได้’ คือผมดันไปออกเสียง ‘ครับ’ ว่า crap ไง ซึ่งมันเป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษ”

ต่อมาในช่วงก่อนเข้าเพลง “Counting Stars” เทดเดอร์ได้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อย เขาเล่าว่าสมัยก่อนเขาเป็นคนหนึ่งที่มีช่วงชีวิตต้องกัดปากตีนถีบ มีหลายสิ่งที่เขาอยากทำและอยากเป็น แต่ด้วยสถานะการเงินในตอนนั้นทำให้เขาได้แต่ก้มหน้าหาเงินและรอคอยวันที่ฝันทุกอย่างของตัวเองจะเป็นจริง

“ช่วงชีวิตหนึ่งผมค่อนข้างลำบากมาก เคยต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว พอได้เงินมาผมก็ต้องคอยนับเงินว่าเหลือเท่าไหร่แล้ว มันมีหลายสิ่งที่ผมอยากทำและอยากเป็นมาก ผมเบื่อที่จะต้องคอยนับแบงก์ดอลลาร์แบบนั้นแล้ว มันเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาต่อมา นี่คือเรื่องราวและที่มาของเพลงนี้”

OneRepublic ปิดคอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการของพวกเขา ด้วยเพลง “If I Lose Myself” ผลงานจากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ‘Native’ 

ภาพรวม: คอนเสิร์ตของ OneRepublic ในครั้งนี้ถือเป็นโชว์ที่อัดแน่นไปด้วยท่วงทำนองที่แสนคุ้นเคย บทเพลงฮิต ๆ เหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านห้วงอารมณ์ที่เปี่ยมด้วยเอนเนอร์จีจากนักดนตรีทุกคนบนเวที โดยเฉพาะเทดเดอร์ในวันนี้มาเต็มทั้งการเอนเตอร์เทนและเสียงร้องที่แม้จะมีแหบให้ได้ยินบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับคุณภาพสูง เนื้อเสียงไม่แห้งกรังเหมือนกับโชว์ครั้งก่อนที่มาไทยเมื่อปี 2019

อีกหนึ่งความน่าเสียดายคือ ทางวงมีการตัดเพลง “Lose Somebody” ที่พวกเขาเคยร่วมงานกับ Kygo ทิ้งไปจากเซตลิสต์หลัก แต่โดยรวมนับเป็นโชว์ระยะเวลา 75 นาทีที่ดูสนุกและน่าจดจำกว่าทุก ๆ ครั้ง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส