Westlife สี่หนุ่มวงบอยแบนด์สัญชาติไอริช นำโดย นิกกี้ เบิร์น (Nicky Byrne), คีแอน อีแกน (Kian Egan), มาร์ก ฟีฮิลี (Mark Feehily) และ เชน ฟิแลน (Shane Filan) ถือเป็นวงบอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งในยุค Y2K การันตีด้วยสถิติยอดขายที่มากกว่า 50 ล้านแผ่นทั่วโลก

ย้อนกลับไปต้นยุค 2000s ถือเป็นยุคทองของวงบอยแบนด์อย่างแท้จริง รูปแบบของวงที่มีนักร้องหนุ่มสี่ถึงห้าคนช่วยกันร้องประสานเสียงส่งพลังในท่อนคอรัสที่ชวนติดหู กลายเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัวอย่างมากของวงการดนตรีในสมัยนั้น

แม้ปัจจุบันความนิยมของ Westlife จะจืดจางลงตามกาลเวลา แต่ตัววงก็ยังมีไฟในการสร้างสรรค์ผลงานไม่เปลี่ยน ล่าสุดพวกเขากลับมาเปิดคอนเสิร์ตใหญ่ที่ประเทศไทยอีกครั้ง หลังทิ้งช่วงจากครั้งก่อนนาน 4 ปีเต็ม คอนเสิร์ตในครั้งนี้ใช้ชื่อทัวร์ว่า ‘The Wild Dreams Tour’ ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับผลงานอัลบั้มชุดที่ 12 ของวง

เวลาประมาณ 21.00 น. Westlife เปิดตัวด้วยซิงเกิลจากอัลบั้มล่าสุดอย่าง “Starlight“ ก่อนจะรัวเพลงใส่คนดู ชนิดที่ว่าไม่สนว่าเพลงฮิตจะหมดลิสต์ ไล่ตั้งแต่ “Uptown Girl” ผลงานคัฟเวอร์ของ บิลลี โจเอล (Billy Joel), “When You’re Looking Like That”, “Fool Again”, “If I Let You Go”, “My Love” และ “Swear It Again” 

โชว์ของ Westlife มีอีกหนึ่งเอกลักษณ์ก็คือการหยิบเพลงของศิลปินระดับตำนานมาเมดเลย์ ซึ่งครั้งที่แล้วตัววงเลือก Tribute ผลงานของวง Queen แต่ครั้งนี้ทั้งสี่หนุ่มเลือกหยิบผลงานของ ABBA มาร้องสด ๆ ให้แฟน ๆ ได้ฟังกัน เริ่มตั้งแต่ “Mamma Mia”, “Gimme Gimme Gimme”, “Money Money Money”, “Take A Chance On Me”, “I Have a Dream”, “Dancing Queen”, “Waterloo” และ “Thank You For The Music”

วงต่อเนื่องความสนุกให้โชว์ด้วย 2 เพลงคัฟเวอร์ฮิตอย่าง “What About Now” และ “Mandy” ก่อนที่หนุ่มนิกกี้จะใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที ในการพูดคุยกับแฟน ๆ นิกกี้เริ่มเล่าประสบการณ์ที่เขามีต่อประเทศไทย ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวกลายมาเป็นไฮไลต์เรียกเสียงกรี๊ดให้โชว์ในครั้งนี้ไปเลย

“เราตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเล่นที่นี่ เราตื่นเต้นจนบอกคนรอบข้างว่า ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 1999 ตอนที่เรามาประเทศไทยครั้งแรก ที่สนามบินมีคนมายืนรอเราตรงกระจกเป็นพัน ๆ คอยดูนะเดี๋ยวเรามาถึงต้องเจออะไรแบบนั้นแน่ ๆ แต่สุดท้ายพอเรามาถึง กลับไม่มีใครมารอเราเลย ทีแรกเราคิดว่าพวกคุณคงยุ่ง หรือคงมีใครไปรอที่โรงแรมแทน ปรากฏพอไปถึงโรงแรมก็ไม่มีใครมาเหมือนกัน”

 

หลังคุยกันพอหอมปากหอมคอ ช่วงท้าย Westlife ตัดสินใจยิงยาวด้วยเพลงฮิตอย่าง “I Lay My Love on You”, “Seasons in the Sun“, “World of Our Own” และ “Flying Without Wings” ก่อนจะปิดโชว์ในครั้งนี้ด้วยช่วง Encore สองเพลงก็คือ “Hello My Love” และ “You Raise Me Up”

ภาพรวม: ทั้งสี่ยังโดดเด่นในเรื่องของการร้องและเอนเตอร์เทน มวลรวมของโชว์ยังคงดูสนุกเหมือนเคย เพิ่มเติมคือบทสนทนาบนเวทีมีความธรรมชาติและดูสบาย ๆ อย่างมาก เหมือนทั้งสี่เลือกที่จะพูดตามประสบการณ์ของตัวเองมากกว่าที่จะล็อกบทตามสคริปต์เหมือนแต่ก่อน 

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในโชว์ของ Westlife ยังคงเป็นเรื่องเดิม นั่นก็คือพวกเขายังคงร้องกับ backing track แทนที่จะเป็นดนตรีสด แน่นอนการขาดสิ่งนี้ไปทำให้ มิติ และเสน่ห์ของการแสดงสดลดหายไปแบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

ขอขอบคุณภาพจาก Live Nation Tero

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส