ครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินชื่อ แฮร์รี สไตล์ส (Harry Styles) คือตอนที่เขาแบกความฝันของตัวเองขึ้นเวที ‘The X Factor’ เมื่อปี 2010 กับเพลง “Isn’t She Lovely” ของ สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) ย้อนกลับไปตอนนั้นผู้ชายคนนี้มีอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น และนั่นคือช่วงเวลาที่ทุกอย่างในวันนี้เริ่มต้น…

สไตล์สแจ้งเกิดเป็นศิลปินเต็มตัว ในฐานะสมาชิกของวง One Direction ปัจจุบันเขาผันตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวมีผลงานสตูดิโออัลบั้ม 3 ชุด และอัลบั้มล่าสุดของเขาอย่าง ‘Harry’s House’ ก็เพิ่งผงาดคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมจากเวทีแกรมมี อวอร์ดสไปเมื่อไม่นานมานี้

เมื่อค่ำคืนของวันที่ 11 มีนาคม 2023 สไตล์สบินตรงมาเปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวเต็มรูปแบบของตัวเองครั้งแรกในประเทศไทย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน พร้อมกับทัวร์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Harry Styles: Love On Tour 2023’ ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ที่ถูกนำมาเล่นในครั้งนี้ จะเป็นผลงานจากอัลบั้มล่าสุดอย่าง ‘Harry’s House’

เวลาประมาณ 20.15 น. สไตล์สเปิดโชว์ด้วยเพลงจากอัลบั้มล่าสุดอย่าง “Music for a Sushi Restaurant” ก่อนจะต่อเนื่องด้วย 2 เพลงฮิตจากอัลบั้ม ‘Fine Line’ อย่าง “Golden” และ “Adore You” ซึ่งน่าเสียดายในเพลงหลัง หนุ่มสไตล์สเลือกร้องท่อนคอรัสด้วยอ็อกเทฟ (Octave) ที่ต่ำลง ทำให้ความพีคของเพลงอาจจะหายไปบ้าง แต่สุดท้ายสองรอบหลังเจ้าตัวก็กลับมาร้องอ็อกเทฟเดียวกันกับเพลงจริง

จากนั้นสไตล์สพูดคุยและทักทายแฟน ๆ ครั้งแรกว่า “สวัสดีครับ” และ “ขอเสียงหน่อย” ด้วยสำเนียงที่ชัดมาก แถมยังบอกอีกด้วยว่า “นี่แค่ 3 เพลง เหงื่อผมก็แตกซะแล้ว”

นักร้องวัย 29 ปี โชว์ต่อเนื่องด้วย 2 เพลงจากอัลบั้ม ‘Harry’s House’ อย่าง “Keep Driving”, “Daylight” และผลงานจากอัลบั้มแรกอย่าง “Woman”

ช่วงต่อมาสไตล์สเบรกดาวน์จังหวะลงมานิดหนึ่ง ก่อนจะหยิบเพลงช้าเพราะ ๆ อย่าง “Matilda” มาบรรเลงแบบอะคูสติกร่วมกับมือเบส เอลิน แซนด์เบิร์ก (Elin Sandberg) และมือกีตาร์ Ny Oh ที่บริเวณหน้าเวที จากนั้นทั้งสามก็เดินกลับมาสู่เวทีหลักพร้อมบรรเลงเลงเพลงจังหวะกลาง ๆ ความหมายดี ๆ อย่าง “Little Freak” และ “Satellite”

อีกหนึ่งไฮไลต์ของโชว์ ‘Love On Tour’ คือการเดินมาผ่านแผ่นป้ายจากแฟน ๆ ซึ่งโชว์ในครั้งนี้สไตล์สก็เดินมาอ่านป้ายของแฟน ๆ หลายใบ มีคำถามหนึ่งที่ถามเขาว่า “มะพร้าวหรือมะม่วง?” สไตล์สที่ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ให้แฟน ๆ ได้มีส่วนร่วมโดยการยกมือเลือกว่าชอบผลไม้ชนิดไหนมากกว่ากัน แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็บอกว่าขอเลือกมะม่วงดีกว่า เพราะเมนูข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอะไรที่ดีต่อใจเขามาก ๆ

สไตล์สขยับจังหวะของโชว์ขึ้นมาให้น่าตื่นเต้นอีกครั้ง ด้วยบีตแบบดิสโก้และเพลงสนุก ๆ  ไม่ว่าจะเป็น “Cinema”, “Treat People With Kindness”, “What Makes You Beautiful” (ผลงานจากสมัย One Direction), “Late Night Talking” และเพลงฮิตอย่าง “Watermelon Sugar” ที่สไตล์สนำหมวกแตงโมถักจากแฟน ๆ ด้านล่าง มาใส่ขณะร้องเพลงนี้ด้วย ก่อนจะปิดท้ายช่วงนี้ด้วยเพลง “Love of My Life”

หลังลงจากเวทีไปราว ๆ 5-6 นาที สไตล์สกลับมาพร้อมช่วง Encore ที่เปิดด้วยเพลงฮิตอย่าง “Sign of the Times” ก่อนนักร้องหนุ่มจะคุยกับแฟนเพลงอีกพักใหญ่ มีทั้งคุยกับแฟนเพลงคนหนึ่งจากฟิลิปปินส์ที่ตะโกนหาเขาเสียงดัง ถึงขนาดสไตล์สบอกว่า “เสียงคุณกลบคนเป็นหมื่น ๆ ทะลุมอร์นิเตอร์เข้าหูผมมาเลย” หลังพูดคุยกับแฟน ๆ อย่างเป็นกันเอง 4-5 นาที สไตล์สก็ปิดโชว์ในครั้งนี้อย่างเป็นทางการด้วยเพลง “As It Was” และ “Kiwi”

ภาพรวม: เรื่องของการเอนเตอร์เทนโชว์สไตล์สทำออกมาได้ดีสมคำร่ำลือทีเดียว เขาแสดงให้เห็นถึงการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ยอดเยี่ยม มีการพูดคุยกับแฟน ๆ อย่างเป็นกันเอง มีการเดินถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแฟน ๆ ตลอดเวลา ซึ่งมีจังหวะหนึ่งเขาเรียกให้ทีมงานไปดูคนเป็นลมบริเวณหน้าเวทีอีกด้วย 

ที่สำคัญโชว์ในครั้งนี้สไตล์สโชว์ความเป็นเขยไทยตัวจริง มีจังหวะไหว้สวย ๆ ตลอดโชว์ หรือพูดภาษาไทยในหลาย ๆ ช่วงอย่างเช่น “ขอบคุณครับ” หรือ “ขอเสียงหน่อย” เรียกได้ว่าวันนี้สไตล์สถือสำนวน “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ติดตัวมาด้วยจริง ๆ

ด้านเสียงร้องสไตล์สทำได้น่าประทับใจ แม้จะมีบางท่อนเจ้าตัวเลือกร้องแบบเพลย์เซฟไปบ้าง แต่เสียงร้องที่เปล่งออกมาก็มีพลังน่าค้นหา ไม่แสดงออกให้เห็นว่าหมดแรงเลยแม้แต่น้อย นี่อาจเป็นข้อดีของการมีตารางทัวร์ที่ไม่ถี่เกินไป เพราะสไตล์สบินมาถึงไทยราว ๆ วันพฤหัสบดีซึ่งทำให้เขามีเวลาพักเตรียมตัวสำหรับโชว์ในครั้งนี้ ส่วนที่ฟังแล้วไม่รื่นหูนัก มีเพียงเสียงดิสทอร์ชันจากกีตาร์ที่เป็นแกนหลักของดนตรีออกอาการพร่ามัวไปนิด ซึ่งบางครั้งกลบเสียงของสไตล์สในบางจุด แต่โดยรวมทีมนักดนตรีอย่าง ฮวน อริซา (Juan Ariza – กีตาร์) หรือ ยาฟฟรา (Yaffra – คีย์บอร์ด) ก็ทำหน้าที่ออกมาได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะพี่ยาฟฟรามีช็อตขโมยซีนตอนแนะนำตัว ด้วยการโชว์ยาดมหงส์ไทยพร้อมท่าฟินสุด ๆ เรียกเสียงเฮดังลั่นทั้งสนามราชมังฯ

โชว์ในครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นการเติบโตของนักร้องคนหนึ่ง จากนักร้องบอยแบนด์สู่การก้าวขึ้นมาเป็นซุปตาร์ที่เนรมิตโชว์ออกมาได้อย่างน่าจดจำ คงไม่ผิดแปลกอะไร ถ้าวันนี้จะยกให้เขากลายเป็น ‘เจ้าชายแห่งวงการดนตรีป๊อป’ คนใหม่ของวงการเพลง 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส