ในชีวิตคนเรา ทุกคนต่างเคยวาดฝันของตัวเองเอาไว้ตั้งแต่เด็ก  ๆ ว่าฉันอยากโตมาเป็นอย่างนั้น หรือได้ทำสิ่งเหล่านี้ แต่ความเป็นจริงในระหว่างทางที่ชีวิตเติบใหญ่ ใช่ว่าทุกคนจะลงเอยกับสิ่งที่ตัวเองฝันไว้เสมอไป…

น้ำชา-ชีรณัฐ ยูสานนท์ ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตติดหู “รักแท้….ยังไง” ถือเป็นคนที่มีฝันมาตลอดว่า อยากจะเป็นนักร้องให้ได้ แม้หลายปีก่อนเธอจะทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้แล้ว แต่หลายปีต่อมาเธอต้องใช้เวลาฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เพื่อให้ตัวเองได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง

beartai BUZZ ขอพาทุกคนไปเจาะลึกเรื่องราวชีวิตของเธอ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มฝัน จนถึงวันที่ฝันเป็นจริง และวันที่เธอกลับมาฝันอีกครั้ง

ดนตรีเริ่มเข้ามาในชีวิตตอนไหน?

น้ำชา: น่าจะตั้งแต่เด็ก ๆ เลย จริง ๆ ชาเองเป็นเด็กที่โตมากับการชอบร้องเพลง แต่ก่อนจะมีรายการ ‘นกขุนทอง’ แล้วก็จะชอบดูการ์ตูนดิสนีย์ มันจะมีเพลงประกอบ เราชอบ ‘The Little Mermaid’ มาก หลังจากนั้นก็ได้ฝึกร้องเพลงเรียนร้องเพลงมาตลอด คือชัดเจนมาแต่เด็กแล้วว่าเป็นเด็กกิจกรรม แบบชีวิตมันต้องอยู่กับกิจกรรม

ไอดอลของชาตั้งแต่เด็กคือ แอเรียล (Ariel) ใน ‘The Little Mermaid’ ทุกวันนี้ชาก็ยังตอบแบบนี้นะ เขาเป็นไอดอลของชา ที่ทำให้อยากร้องเพลง แต่พอจุดเริ่มต้นที่อยากเป็นนักร้องเพราะเราดูการ์ตูน ทุกวันนี้เวลาตอบคำถามแบบนี้ ก็ฟังดูบ้า ๆ บอ ๆ นะ แต่ว่า มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ 

ตอนไหนที่รู้สึกว่าอยากร้องเพลงเป็นอาชีพ?

น้ำชา: เอาจริง ๆ ชาอยากเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบแล้ว เหมือน ‘มันคือความฝันของเรา’ จนกระทั่งตอนนี้ที่อายุเท่านี้ ชาก็ยังอยากเป็นนักร้องอยู่ เอาจริงๆ ต่อให้วันนี้ไม่ได้ทำอาชีพนี้ ก็ยังรักเสียงเพลงอยู่ ยังไงก็ต้องหาทางมาทางนี้อยู่ดี 

คือตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาพอเราฟังเพลง เราจะรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เหมือนเราอินอยู่ในห้วงอะไรสักอย่างที่เราก็ไม่รู้ เหมือนคนของเข้าอะ แต่มันรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในชีวิต คือ แต่ละคนมันก็ต้องเจอเรื่องโน่นเรื่องนี้ เรื่องดีไม่ดี ปะปนกันบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่เราจับหูฟังใส่หู มันรู้สึกว่ามันฮีล มันรักษาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรามาตลอด

จำวันที่เริ่มเข้าวงการได้ไหม ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

น้ำชา: อันนี้ต้องขอบคุณ คุณแม่ก่อนเลย  แม่เป็นคนทำให้ชามาเจอกับพี่ ‘นิ่ม สีฟ้า’ แต่ชาเองก็ต้องผ่านการออดิชันนะ ผ่านกระบวนการเหมือนที่ทุก ๆ คนเข้ามา เพราะจะมีช่วงแกรมมีเปิดออดิชันครั้งใหญ่ คัดตั้งแต่ นักแสดง นักร้อง นางแบบ จนไปถึงพิธีกรเลย เราก็เป็นหนึ่งในจำนวนร้อยคน พอผ่านจุดนั้นชาก็ได้เข้ามาทำที่ GMM TV กับพี่สถาพร พานิชรักษาพงศ์ ก็เริ่มจากตรงนั้นไปเรื่อย ๆ แล้ว พี่ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค ก็ได้เขียนเพลง “รักแท้….ยังไง” ให้ หลักจากนั้นเหมือนเป็นการจุดพลุสำหรับจุดเริ่มต้นในวงการอาชีพนี้เลย 

ความรู้สึกแรกหลังได้อ่านเนื้อเพลง?

น้ำชา: รู้สึกหยึย ๆ อะ ตอนท่อน “ตับไตไส้พุง” เพราะในสมัยนั้นถือเป็นอะไรที่แปลกมากแบบ ฟังแล้ว “มันต้องสื่อสารผ่านการร้องเพลงยังไงอะ?” ก็ได้มีการพูดคุยกับพี่ดี้ประมาณ 2-3 รอบว่า “พี่จะเอาคำนี้จริง ๆ หรอคะ รู้สึกว่ามันแปลกนะ” แต่ด้วยความที่พี่ดี้เป็นคนเก่งมาก ๆ เขามองภาพออกเลยว่าเนี่ยแหละคำที่คนจะชอบ เราก็เลยแบบโอเคก็ลอง ๆ ไป 

หลังจากปล่อยเพลงไปมันจริงอย่างที่พี่เขาบอก มันเป็นท่อนที่ทุกคนลืมชื่อเพลงไปด้วยซ้ำ จริง ๆ ชื่อเพลงมันชื่อ “รักแท้….ยังไง” แต่คนดันไปจำว่าเพลงมีชื่อว่า “ตับไตไส้พุง”  ซึ่งแบบพี่ดี้เก่งมาก 

มันเกินคาดมากนะ เพราะชาปล่อยเพลงแรกมา เพลง “ดาวบนฟ้า ปลาในน้ำ เธอในฝัน” คนไม่ค่อยให้ความนิยมเท่าไหร่ ทุกวันนี้มีคนรู้จักหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่มันเป็นเพลงแรกของชาเรารู้สึกว่าแบบ มันอาจไม่ใช่ มันก็มีความท้อเกิดขึ้นช่วงเพลงแรกที่ปล่อยไป หลังจากนั้นก็มาเพลงที่ 2 คือ “รักแท้….ยังไง” นั่นคือเพลงที่ทำให้เราได้ทำสิ่งที่เรารักต่อ

อะไรคือบทเรียนที่ได้รับตอนนั้น?

น้ำชา: ชามองว่าทุกคนบนโลกนี้ มันไม่มีการที่ทำครั้งแรกแล้วทำได้เลย มันต้องทำไปเรื่อย ๆ สุดท้ายคนจะเห็นเอง ว่านี้คือความสามารถของเรา ทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วทุกคนจะเห็นมันเอง คนเราอะมันจะมีช่วงที่รู้สึกว่า ไฟมันลุกโชน กับ ช่วงที่ไฟมันมอด

แต่มันก็ไม่มีใครในโลกหรอกที่จะมีไฟต่อชีวิตตลอดเวลา มันจะมีช่วงเวลาที่เราต้องออกมาค้นหาตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง สิ่งที่เราทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบก็ได้ ก็ลองถอยมาทำอย่างอื่น แต่พอทำแล้ว สุดท้ายเราก็กลับมาที่เดิม เหมือนมาตายรัง เพราะมันคือสิ่งที่เราชอบมันคือสิ่งที่เราทำอยู่ แต่มันใช้เวลาหลายปีมาก 

มีช่วงเวลาที่สับสนกับตัวเอง

น้ำชา: ชาสับสนมาก ว่าสรุปแล้ว เราคือใคร เราชอบอะไร อะไรคือจุดมุ่งหมายในชีวิต หรือสิ่งที่เราทำตอนนี้มันยังดีไม่พอ หรือสิ่งที่เราคิดว่ามันใช่มันจะไม่ใช่หรือเปล่า เชื่อว่าทุกคนบนโลกจะมีสิ่งเนี่ยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่เราลองทำสิ่งต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ แสดงละคร แสดงหนัง ขายของ อะไรเหล่านี้ แต่พอเราได้เห็นศิลปินคนอื่น เรารู้สึกคิดถึงตัวเอง เราอยากกลับมาทำมัน  แล้วก็คิดแบบ รอบสุดท้ายของชีวิตแล้วหรือเปล่า ที่จะได้กลับมาทำสิ่งนี้ ด้วยอายุเรา และอะไรต่าง ๆ เราคงไม่ใช่ มาดอนนา (Madonna) ที่ทุกวันนี้เขายังวิ่งเล่นคอนเสิร์ตอยู่เลย

อยากกลับมาแต่โดนปฏิเสธมาตลอด? 

น้ำชา: เราไปหลายค่ายมาก ไปเสนอว่าอยากทำเพลงแบบนี้ สนใจไหม? แต่ก็โดนปฏิเสธมาหมดเลย มีกระทั่งแบบเข้าไปเซ็นเรียบร้อยหมดแล้วนะ แต่ยุบค่ายใส่ ก็แบบท้อนะ แบบไม่เอาละ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ช่างมันเราก็ทำธุรกิจอะไรไปไม่ได้อยู่เฉย ๆ แต่ถ้ามันถึงเวลาของมัน มันจะมาเองโดยที่เราไม่ต้องพยายาม แล้วมันเป็นแบบบนี้ทุกเรื่องของชีวิตเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น ความรัก หน้าที่การงาน หรือ เรื่องลูก อยู่ดี ๆ ก็มีคนโทรมาแบบสนใจมาคุยไหม เพราะคิดว่าน่าจะแมตซ์นะ ซึ่งเป็นพี่ที่ชาเคยรู้จักตอนเป็นนักร้องเมื่อหลายปีก่อน แต่เราก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็โดนปฏิเสธอีก แต่สุดท้ายผ่านไปไม่กี่เดือน ก็มีซิงเกิลของตัวเองออกมา คือบางสิ่งบางอย่างไม่ต้องพยายามก็ได้ มันมาเอง ชีวิตชามันก็เป็นแบบนี้ พยายามอะไรเยอะมันจะไม่ได้ มันจะได้เมื่อเราอยู่เฉย ๆ 

น้ำชาในวันนี้เปลี่ยนไปขนาดไหน

น้ำชา: ชาคิดว่า อินเนอร์ชายังเหมือนเดิม ตั้งแต่เพลง “รักแท้….ยังไง” จนมาถึง “ชาบู” มันเหมือนเราเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มันเหมือนเดิมทุกอย่าง ยกเว้น ทัศนคติ การใช้ชีวิต ซึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ทุกคนต้องโตขึ้น แต่เรื่องของผลงาน ชาว่ามันมาในมุมอาจจะเป็น “รักแท้….ยังไง” สำหรับยุคนี้ 

คัมแบ็กในยุคที่มีศิลปินรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาเยอะมาก

น้ำชา: ชายังใช้ความซื่อสัตย์ต่อเพลงตัวเอง เหมือน 10 ปีที่แล้ว? เราไม่ได้มี สโลแกนว่า “แก่ไปต้องโป๊นะ ไม่งั้นจะขายไม่ออก” เรารู้สึกว่า เรายังชอบสีสันสดใส อยากที่จะมอบความสดใสให้กับทุกคน 

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะทุกวันนี้เด็กใหม่ ๆ ที่เข้ามาเยอะมาก สไตล์การร้องใหม่ เพลงใหม่ ๆ มีความอินเตอร์มากขึ้น ทุกสมัยมันต้องมีของใหม่เข้ามาทดแทน ทุกอาชีพทุกหน้าที่ มันจะมีเด็กที่เข้ามา แทนที่แน่นอน แต่ชาคิดว่าเราก็คือตัวเรามันไม่มีใครจะมาเป็นตัวเราได้ เราก็มีจุดยืนของเราที่ทำให้เราเป็นตัวตนของเรา โดยที่ไม่พยายามเหมือนใคร แล้วสิ่งนี้มันจะทำให้เราอยู่ยาว ชาเชื่อแบบนั้น

เราไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร เราเคารพ ศิลปินทุกคน ไม่ว่าจะเป็นน้องใหม่ รุ่นพี่ หรือ อายุเท่ากัน รู้สึกว่าแต่ละคนเหมือนคนที่ร่วมงานกันในออฟฟิศ เราต้องเป็นทีม เพื่อให้อุตสาหกรรมเพลงของไทย ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เราไม่ได้อยู่ในสนามแข่ง คนที่ชอบเพลงเรา เขาก็จะอยู่กับเรา คนที่ฟังแล้วไม่ถูกหู เขาก็ไปอยู่กับคนอื่น ก็ไม่เป็นไร มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา 

ความแตกต่างของวงการเพลงยุคนั้นกับยุคนี้

น้ำชา: เปลี่ยนไปเยอะมาก แม้กระทั่งวิธีการร้อง แต่ก่อนร้องเพลงจะต้องชัดถ้อยชัดคำ ต้องเอามาจากตำรา ซึ่งสมัยนี้ ยิ่งออกจากตำราได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเท่ หรือการที่คุณร้องเพลงให้โคตรฟังไม่รู้เรื่องมันยิ่งโคตรเท่ มันคืองานศิลปะชิ้นหนึ่ง เราจะร้องเพลงชัด หรือ จะร้องไม่ชัดเลย ชาก็ว่ามันไม่ผิด เพราะอารมณ์มันพาไป 

ทำไมต้อง “ชาบู”?

น้ำชา: ‘ชา’ มาจากชื่อน้ำชา ‘บู’ มาจาก My Boo ที่รัก มันก็เลยเหมือนความรักและชาบู แบบชวนมารักกับฉัน ฉันจะรักเธอแบบไม่อั้น รักไม่มีลิมิต แบบบุฟเฟต์ พาไปกินชาบู มันเหมือนกับเราสมัยก่อน ที่อยู่ ๆ เรามาร้อง “ตับไตไส้พุง” 

เป้าหมายต่อจากนี้

น้ำชา: ตอนนี้เรามองใกล้ ๆ ก่อน ทำให้ดีที่สุดแล้วเดี๋ยวพวกคอนเสิร์ตใหญ่หรืออะไรแบบนี้ เชื่อว่ามันก็คงมาเอง ถ้าเราทำตรงนี้ให้ดี ไม่ได้ฝันใหญ่อะไรขนาดขึ้น Coachella ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด ให้เต็มที่ มันจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่เป็นไร แค่ทำสิ่งที่เรารักและมีความสุข ตื่นมาแล้วเราอยากทำแค่นี้ก็พอ เราก็จะทำจนกว่าเขาต้องบอกให้เราหยุดอะ ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนสุด ๆ  แต่สุดของเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ฝากผลงาน

น้ำชา: สามารถฟังได้ทุกสตรีมมิง ทุกช่องทาง และ YouTube ชื่อว่า ‘Namcha’ ซึ่งเป็นช่องของชาเอง ฝากทุก ๆ คนด้วย ส่งพลังให้ซึ่งกันและกัน ในการทำงานในสิ่งที่เรารักต่อไป ถ้าถามว่าชาคาดหวังอะไร ชาคาดหวังว่า คนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้สึกของชา แล้วมีความสุข แค่นั้นชาก็มีความสุขด้วย 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส