

‘Evil Dead Rise: ผีอมตะผงาด’ กลับมาสานต่อตำนานแฟรนไชส์ผีอมตะอีกครั้ง โดยนิยามตัวเองว่าเป็นภาคต่อจาก ‘Army of Darkness’ เมื่อปี 1992 เพื่อดำเนินเรื่องต่อจากเนื้อหาต้นฉบับของแซม ไรมี (Sam Raimi) แม้การกลับมาครั้งนี้อาจมีรสชาติแปลกไปจากที่เคย แต่ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 36 นาที ตัวหนังก็พาเราดำดิ่งสู่ความเป็น ‘Evil Dead’ ในที่สุด
‘Evil Dead Rise’ กำกับและเขียนบทโดย ลี ครอเนิน (Lee Cronin) นักเขียนบทและผู้กำกับชาวไอริชที่เคยมีผลงานการกำกับเรื่อง ‘The Hole in the Ground’ อำนวยการสร้างโดย โรเบิร์ต ทาเพิร์ต (Robert Tapert) และได้ บรูซ แคมป์เบล (Bruce Campbell) เข้ามามีส่วนร่วมอำนวยการสร้างด้วย
เรื่องราวจะเล่าถึง เบธ (รับบทโดย ลิลี ซัลลิแวน – Lily Sullivan) ที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวของพี่สาว เอลลี (รับบทโดย อลิซซา ซูเธอร์แลนด์ – Alyssa Sutherland) ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะที่เอลลีผู้เป็นพี่อาศัยอยู่กับลูก ๆ ในอะพาร์ตเมนต์เก่าโทรมในเมืองลอสแอนเจลิส ในคืนนั้นเองได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น นำพวกเขาไปสู่การค้นพบหนังสือเนโครโนมิครอน แผ่นเสียงที่บันทึกการแปลหนังสือโดยนักบวชและได้ปลุกปีศาจร้ายขึ้นโดยไม่ตั้งใจ กลายเป็นค่ำคืนอันตรายที่ภัยร้ายก็คือตัวเอลลีที่ถูกสิงโดยปีศาจร้ายนั่นเอง
ในภาคนี้โลเคชันการดำเนินเรื่องและกลุ่มตัวละครหลักนั้นเปลี่ยนไปทั้งหมด เรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นกลางป่า ไม่ได้เกิดขึ้นที่กระท่อมร้าง แต่ยังคงเอกลักษณ์อย่างการถ่ายทำในโลเคชันเพียงแห่งเดียว โดยเปลี่ยนมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดในอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ในเมืองลอสแอนเจลิสแทน แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถทำให้เรารู้สึกถึงความโดดเดี่ยว การถูกตัดขาดจากภายนอก และไร้ทางหนีได้ดี
ความแปลกใหม่ที่คุ้นเคย ใช้วัตถุดิบในจักรวาล ‘Evil Dead’ ได้คุ้มค่า


แม้จะเลือกเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของตัวละครกลุ่มใหม่ โลเคชันใหม่ แต่เราก็ยังรู้สึกคุ้นเคยเพราะ ‘Evil Dead Rise’ หยิบเอาวัตถุดิบในจักรวาลของตัวเองมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าแถมยังลงตัวเอามาก ๆ เลยด้วย ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญแบบตลกร้ายที่นำพาบรรดาตัวละครไปพบกับความวายป่วงชวนผวา การเอาตัวรอดจากค่ำคืนที่ยาวนาน ของเหลวสีขาวที่ผู้ถูกสิงสำรอกออกมา เอกลักษณ์ประจำตัวของ เดดไดต์ (Deadite) ที่เมื่อได้สิงคนเมื่อไหร่ มันจะมาพร้อมการปั่นประสาทจนทำให้ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่สติหลุด
แน่นอนว่ารวมถึงไอเทมชิ้นสำคัญประจำจักรวาลอย่างเนโครโนมิครอน ที่การกลับมาในภาคนี้มีรูปลักษณ์ดูเรียบง่ายแต่ชวนขนลุกไม่ต่างจากภาคอื่น แค่ดูก็รู้ได้ว่าหนังสือเล่มนี้อันตราย แต่ก็ไม่วายมีคนอยากรู้อยากเห็นจนไปเปิดมันเข้าจนได้
นอกจากนี้หนังยังใช้มุมกล้องสไตล์ไรมีอยู่หลายครั้งเพื่อสื่อถึงการโดนไล่ล่าโดยวิญญาณร้าย ที่สำคัญฉากสุดคลาสสิกอย่างการโดนพันธนาการและถูกล่วงล้ำก็ยังมีให้เห็น แถมยังดูโหดร้าย ชวนผวา และทำให้จิตตกได้แบบเบา ๆ
เป็นการหยิบเอาวัตถุดิบที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นำมาปรุงให้ดูแปลกใหม่ แม้ในแง่เรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครที่ถูกเล่าแบบเบาบางจะยังไม่กลมกล่อมเท่าไหร่ แต่ความบันเทิงตามแบบฉบับผีอมตะก็ยังคงอยู่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ปมของตัวละครขยี้ไม่สุด แต่การแสดงไปสุดกว่า


เนื้อเรื่องในภาคนี้เลือกเล่าเรื่องผ่านตัวละครพี่น้องสองสาวที่แต่ละคนก็มีปมของตัวเอง แต่กลับรู้สึกว่าหนังยังทำให้เราอินกับส่วนนี้ได้ไม่มากเท่าไหร่ ปมที่เลือกมาใช้ชูโรงอย่าง “ความเป็นแม่” ก็ไม่ได้หนักหน่วงหรือเอามาขยี้ชัดเจนอะไรขนาดนั้น
แต่ในเรื่องของการแสดงต้องยกนิ้วให้จริง ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นซัลลิแวนหรือซูเธอร์แลนด์ก็เล่นใหญ่ จัดหนักจัดเต็ม สาดอารมณ์ใส่กันไม่มียั้ง รวมถึงตัวละครสมทบอื่น ๆ อย่าง มอร์แกน เดวีส์ (Morgan Davies) แกเบรียล เอ็กโคลส์ (Gabrielle Echols) และเนลล์ ฟิชเชอร์ (Nell Fisher) ก็มาช่วยสร้างสีสันให้กับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
โหด เลือดสาด และเคารพต้นฉบับความสยองขวัญสุดคลาสสิก


ใครที่อยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้โหดหรือเลือดสาดแบบจัดเต็มมั้ย ต้องบอกว่าไม่ผิดหวัง เพราะด้านความสยอง โหด ดิบ จัดมาให้คนดูแบบไล่ระดับความโหดขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มีฉากหวาดเสียวหลายฉาก รวมถึงมีจัมป์สแกร์พอประมาณไม่ได้นำมาใช้เยอะพร่ำเพรื่อ ต้องบอกว่าจังหวะการเล่าเรื่องของหนังค่อนข้างดีและเลือกเล่าผ่านมุมกล้องที่หลากหลาย ทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกได้ไม่ยาก
และหากใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญ คงรู้สึกคุ้นเคยกับหลาย ๆ ฉาก เพราะมีการสื่อถึงแรงบันดาลใจที่ได้มาจากหนังสยองขวัญคลาสสิกขึ้นหิ้งอย่าง ‘The Shining’ ทั้งฉากห้องน้ำในอะพาร์ตเมนต์ รวมถึงฉากเลือดท่วมลิฟต์ ไปจนถึงความบ้าคลั่งโกลาหลที่เกิดขึ้นในค่ำคืนแสนยาวนาน
ส่วนใครเป็นแฟน เอช.พี.เลิฟต์คราฟต์ (H.P. Lovecraft) ในภาคนี้เราได้กลิ่นความเลิฟต์คราฟต์แบบชัดเจนพอสมควร ทั้งหนังสือแห่งความตายเนโครโนมิครอน รูปลักษณ์ของเหล่าปีศาจที่เหนือจินตนาการและจุดประสงค์ของพวกมันที่ไปไกลเกินความเข้าใจของมนุษย์ ความวุ่นวาย ปั่นประสาท ที่ทำให้ตัวละคร แทบเสียสติ
สรุป
‘Evil Dead Rise’ อาจเป็นหนังเรื่องใหม่ล่าสุดของจักรวาลผีอมตะที่ไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่ตัวหนังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ดี แถมหยิบเอาวัตถุดิบที่มีอยู่แล้วมาใช้งานได้อย่างลงตัว สาดความน่ากลัว ชวนขนลุก ผสมผสานกับการต่อสู้เอาชีวิตรอดมาให้เราระทึกได้ตลอด ทำให้หนังมีดีมากพอสำหรับคอ Horror ที่กำลังตามหาหนังสยองโหด ๆ ดิบ ๆ ดูกันให้สะใจ
‘Evil Dead Rise’ มีกำหนดฉายรอบพิเศษวันที่ 17 – 19 เมษายน และจะฉายรอบปกติในวันที่ 20 เมษายน 2023 นี้ในโรงภาพยนตร์
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส