ก่อนอื่นต้องเล่าให้ฟังว่า หนังเกาหลีเรื่องนี้มันน่าสนใจตรงไหน นี่คือว่าที่แชมป์หนังทำเงินในเกาหลีใต้ปีนี้นะครับ เพราะว่าหนังสร้างกระแสความสนใจไว้สูงก่อนเปิดตัว ก็เลยมีผู้ชมแห่ไปจองตั๋วล่วงหน้า 179,553 ที่นั่ง ทำลายสถิติ Train To Busan แชมป์ปีที่แล้ว และในวันแรกที่เข้าฉาย 26 ก.ค. ก็มีผู้เข้าชมถึง 980,000 คน บ้านเราได้เข้าฉายต่อจากเกาหลีสัปดาห์เดียวก็เลยยังไม่มีตัวเลขจากเกาหลีใต้ว่าทำเงินไปแล้วเท่าไหร่ แต่น่าจะทำกำไรในประเทศได้มหาศาลล่ะ เพราะหนังโปรโมทรุนแรง บวกกับมีซูเปอร์สตาร์มารับบทนำทั้ง ซง จุงกิ , โซ จีซป และ ฮวาง จองมิน ใช้ทุนสร้างมหาศาลไปถึง 21 ล้านเหรียญสหรัฐ

ภาพเกาะฮาชิมะ ของจริง

ยิ่งกระแสแรง ก็ยิ่งก่อให้เกิดดราม่าตามมาตั้งแต่ก่อนเข้าฉาย แต่ยิ่งดราม่าก็ยิ่งเหมือนเป็นการโปรโมทหนังไปอีกทาง เพราะพลอตหนังคือโศกนาฏกรรมที่ญี่ปุ่นรังแกเกาหลีในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีบันทึกชี้ชัดในหน้าประวัติศาสตร์ ทางญี่ปุ่นก็ออกมาแสดงความไม่พอใจกับสถานะของชาติญี่ปุ่นในเรื่องนี้ ที่ถูกวางตัวให้เป็นปีศาจร้ายอีกครั้ง และจากที่ผู้เขียนดูแล้วก็ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นในเรื่องนี้ โหด+เลว แบบไม่มีดีเลย ก็สมควรที่ญี่ปุ่นจะร้อนตัวนะ

 

ดารานำทั้ง 5 ของเรื่อง

หนังเล่าเรื่องราวบนเกาะฮาชิมะ เกาะเดียวกับที่ M39 เคยสร้างเป็นหนังไทยเมื่อปี 2560 นั่นแหละ แต่ใน Battleship Island นี่พาเราย้อนอดีตไปให้เห็นความเป็นมาเป็นไปบนเกาะนั้นกันเลย หนังกำหนดเหตุการณ์ในเรื่องว่าเป็นปี 1945 ช่วงก่อนที่นางาซากิ จะโดนทิ้งระเบิดไม่นานนัก ญี่ปุ่นในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เลยใช้วิธีล่อหลอกชาวต่างชาติมาทำงานในเหมืองถ่านหินบนเกาะฮาชิมะนี่ กลุ่มที่โดนหลอกมาก็มากหน้าหลายอาชีพ ในหนังจะดึงตัวเด่น ๆ ออกมา 4 คนคือ “คังอ๊ก” รับบทโดย “ฮวัง จงมิน” หัวหน้าวงดนตรีที่ลีลาเอาตัวรอดแพรวพราวและพูดญี่ปุ่นได้ เขามีลูกสาวคนเดียว “โซฮี” เป็นนักร้องนำประจำวงที่ติดสอยห้อยตามพ่อมาด้วย รับบทโดย “คิมซูอัน” และ “ชิลซอง” นักเลงใหญ่จากกรุงโซลที่จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร รับบทโดย “โซ จีซป” และสุดท้าย “มัลยอน” รับบทโดย “ลี จองฮยอน” หญิงแกร่งผู้เผชิญชะตาชีวิตเลวร้ายมาตลอด ทั้งหมดต่างดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีการของตัวเอง แต่ทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องเอาชีวิตรอดออกจากคุกกลางทะเลนี้ให้ได้

ลี จองฮยอน นำหญิงคนเดียวของเรื่อง

สำหรับแฟน ๆ ซง จุงกิ ต้องบอกก่อนว่าบทของเขาไม่ใช่เป็นบทนำนะครับ เด่นสุดคือบท คังอ๊ก ของฮวัง จงมิน นี่แหละ กว่าซง จุงกิ จะโผล่หน้ามาก็ปาเข้าไปเกินครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว บท “พัค มูยอง. ของเขาเป็นนายทหารจากหน่วย OSS ที่ส่งมาชิงตัวนายพลยุน นักโทษทางการเมืองที่หนีมากบดานอยู่บนเกาะฮาชิมะนี้ แต่เมื่อ พัค เข้ามาร่วมชีวิตกับเหล่าแรงงานและบังเอิญได้ไปรับรู้เรื่องราวการคอรัปชั่นภายในหมู่ทหารญี่ปุ่นและต้องการจะฆ่าหมู่แรงงานเกาหลีปิดปากให้หมด จากแผนเดิมที่จะชิงตัวนายพลเพียงหนึ่งเดียว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการใหญ่ที่จะช่วยเพื่อนร่วมชาติทั้ง 400 ชีวิตออกจากเกาะนี้ให้ได้

หนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 10 นาที แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และมีฉากแอ็คชั่นตื่นตาหยอดมาตลอด เลยไม่มีสักนาทีที่จะทิ้งช่วงให้รู้สึกง่วงเลย ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนังเกาหลีใต้เสกลใหญ่จริง เพราะไปถ่ายเกาะจริงไม่ได้ ทีมงานเลยจำลองเกาะฮาชิมะขึ้นมาในอัตราส่วน 70% จากเกาะจริง ฉากที่พัก บ้านเรือน เหมืองถ่านหิน ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หมด รายละเอียดในเส้นเรื่องก็แน่นมาก ทั้งการแนะนำตัวละครหลัก การชิงดีชิงเด่นกันทั้งในฝ่ายทหารญี่ปุ่น และฝ่ายแรงงานเกาหลี การคอรัปชั่นฉ้อฉล การทรยศหักหลัง โอ้ย!! เต็มไปหมด เตือนเลยว่าต้องมีสมาธิในการดูสูงมาก อย่างแรกเพราะตัวละครเยอะมาก ทั้งฝ่ายเกาหลีและญี่ปุ่น แล้วพอไปอยู่ในเหมืองหน้าเลอะ ๆ ดำ ๆ ก็แยกไม่ออกอีกว่าใครเป็นใคร แล้วบทสนทนาก็ไม่ค่อยเรียกชื่อกันอีก ดูจบยังไม่รู้เลยว่าไอ้ตัวไหนชื่ออะไร และอีกอย่างคือ หนังเดินเรื่องเร็วมากไม่ค่อยปูทางกันยาวเลย คุยแผนการแป๊ปเดียวตัดมาอีกฉากแผนการเดินหน้าแล้ว บท”พัค” ของ ซงจุงกิ ตะกี้รับมอบหมายงานอยู่ที่จีน ตัดมาอีกฉากเป็นคนงานอยู่ในเหมืองแล้ว เฮ่ย!มึงมาตอนไหนวะ ต้องขออนุญาตแฟนคลับซง จุงกิ นะครับ ผมว่าบท”พัค” นายทหารคร่ำศึกดูขัดกับหน้าตาใสซื่อของซง จุงกิ มาก ตามบทพัคนี่โคตรโหดเลยล่ะ คุย ๆ กันอยู่พี่จับปาดคอเลือดสาดเฉยเลย แต่มองหน้าซง จุงกิ นี่ไม่ใช่ง่ะ ดูยังไงก็สัมผัสรังสีอำมหิตไม่ได้เลยนะ

คิม ซูอัน ดาราเด็กมหัศจรรย์

ในดารานำทั้งหมดรายที่โดดเด่นสุดคือ “คิมซูอัน” ในบท “โซฮี” เราเคยเห็นเธอกันมาแล้วจาก Train To busan แต่ตอนนั้นบทยังไม่เปิดโอกาสให้ได่โชว์ของขนาดนี้ แต่บท โซฮี นี่มาครบทั้งภาพของเด็กแก่แดด เด็กดราม่า หลาย ๆ ซีนที่เธอขโมยมาเป็นของตัวเองหมด ชอบฉากที่เธอพยายามเอาตัวรอดตอนที่ส่งไปรับแขกในชุดกิโมโนมาก ทั้งน้ำเสียงหน้าตาดึงให้เรารับรู้ถึงจิตใจร้อนรนของเธอได้จริง ๆ เป็นเด็กที่ความสามารถเกินตัว เก่งมากจริง ๆ และได้ประกบแต่ซูเปอร์สตาร์ทั้งนั้นเลยนะ กงยู ก็แล้ว รอบนี้มาเจอ ซง จุงกิ อีก

อีกเรื่องที่ต้องเตือนกันไว้คือหนัง “โหด” เกินคาด บอกเลยว่าเต็มไปด้วยภาพรุนแรง เลือดเยอะมาก คนตายเยอะมาก แขนขาขาด กระดูกโผล่ ไส้ไหล ศพกองกันเป็นภูเขา ใครไม่ชอบภาพรุนแรงแบบนี้ก็เลี่ยงไปซะ แต่ถ้าชอบดูหนังสงครามที่ถ่ายทอดบรรยากาศภาพแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ก็นี่เลยสุด ๆ เป็น 2 ชั่วโมง 10 นาทีที่โคตรกดดัน หดหู่ กับสภาพโหดร้ายที่นายทหารญี่ปุ่นข่มเหงแรงงานเกาหลี ทั้งสภาพการทำงานหนัก ที่นอนแออัด และอาหารที่อย่างกับเศษขยะ อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้บทนายทหารญี่ปุ่นถูกเขียนให้ปีศาจร้ายมาก ทั้งโหดทั้งเลวออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เลย เลวแบบไม่มีที่ไปที่มา เลวลูกเดียว และบทที่ทำร้ายจิตใจคนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วงท้ายนี่ถ้าอินกับแผนการหนีของชาวเกาหลีจะเครียดมาก เพราะบทแกล้งให้เหล่าตัวละครต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ นานาระหว่างหนีมากมาย อารมณ์หนังเหมือนกับเทียนดวงเล็ก ๆ ในฉากวางแผนการหนีนั่นแหละ ที่ดูเป็นความหวังอันริบหรี่ของชาวเกาหลีที่พร้อมจะดับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉากจุดเทียนนี่เป็นฉากที่ถ่ายแสงเทียนออกมาได้สวยมาก

มีฉากที่ชอบหลายฉากมาก ฉากแรกคือ ฉากต่อยกันในโรงอาบน้ำเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้า เป็นฉากต่อสู้มือเปล่าที่ผมถือยกให้ว่ารุนแรงและสมจริงสุดเท่าที่เคยเห็นมา คู่ต่อสู้อยู่ในชุดผ้าเตี่ยวปิดจุ๊ดจู๋ผืนเดียว สู้กันบนพื้นกระเบื้องเปียก ต่อยกันด้วยมือเปล่า ทุ่มกันลงในอ่างน้ำ ถีบกันกระแทกขอบอ่าง ดูแล้วชวนให้สงสัยว่าเบื้องหลังมันทำกันอย่างไร สู้กันบนพื้นเปียก ๆ เซฟตี้กันยังไง ไม่ล้มหัวแตกกันบ้างหรือ ฉากระเบิดในเหมืองถ่านหินก็เป็นอีกฉากที่ลากยาว และรุนแรง เสียดายนิดที่หนังไม่ได้อธิบายรายละเอียดว่าเหมืองถ่านหินนี้ลงไปใต้ดินถึง 1 กิโลเมตรจะได้ความรู้สึกกดดันกว่านี้อีก ถ้าเทียบกับ The 33 (2015) หนังเหมืองถล่มนั่น ฉากลงลิฟต์รู้สึกว่าลึกมากไกลมาก  และสุดท้ายฉากไคลแมกซ์ของเรื่องคือฉากพาแรงงานเกาหลี 400 ชีวิตหนี ฉากนี้ยาวมากเกิน 30 นาทีได้ จัดเต็มสุด ๆ สู้กันทั้งกระสุนทั้งระเบิด และดาบปลายปืน เป็นฉากที่ลุ้นเอาใจช่วยจนเหนื่อยล่ะ เชียร์ชัดเจนนะครับว่าไม่ควรพลาด เป็นหนังที่สนุกแต่เป็นความสนุกบนภาพที่เต็มไปด้วยเลือด,เหงื่อ, คนตายและเนื้อหาที่เครียดมาก

 

Play video