Childish Gambino เป็นหนึ่งในศิลปินที่คนพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงปีนี้ ด้วยงานเพลงและ MV ที่เปี่ยมไปด้วยหมายความอันแฝงเร้นไว้ด้วยสารอันคมคาย

คราวนี้เขากลับมาอีกครั้งกับเพลง “Feels Like Summer” ซึ่งถูกปล่อยออกมาพร้อมกับ “Summertime Magic,” ตั้งแต่เดือนกรกฎาที่ผ่านมา โดยทั้งสองเพลงอยู่ใน EP ที่มีชื่อว่า The Summer Pack 

MV ของเพลง “Feels Like Summer” ทำออกมาในสไตล์แอนิเมชั่น เป็นเรื่องราวของ Childish Gambino ที่เดินฟังเพลงเรื่อยเปื่อยไปตามท้องถนนระหว่างกลับบ้าน พลันเห็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้าน ต่างคนก็ต่างมีเรื่องราวของตัวเอง ที่น่าสนใจก็คือ ผู้คนเหล่านี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคนดังทั้งหลายในวงการเพลงโดยเฉพาะวงการแร็ปเปอร์ อาทิเช่น Kanye West ที่ยืนร้องไห้และมี  Michelle Obama มายืนปลอบ (55) ซึ่งชวนให้เรารู้สึกตื่นเต้นและสนุกกับการดูและถอดรหัสความหมายแฝงที่ซ่อนไว้ใน MV ของเขาอีกแล้ว ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านการถอดหรัส MV เพลงนี้ได้ที่นี่ครับ

สำหรับเพลง “Feels Like Summer” ของ Childish Gambino ถึงแม้จะมีท่วงทำนองที่ฟังสบาย ไปเรื่อยๆ แต่เนื้อหาของเพลงนั้นกลับส่งสารที่ค่อนข้างจริงจังและหนักแน่นถึงความเป็นห่วงที่มีต่อโลกใบนี้ โดยรวมเนื้อหาของเพลง “Feels Like Summer” พูดถึงหลายๆปัญหาที่โลกเรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาประชากรล้นโลก ปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) ปัญหาโลกร้อน น้ำขาดแคลน มลภาวะทางอากาศ ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย (Colony collapse disorder -CCD) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ผึ้งงานจากรังหรือนิคมผึ้งพันธุ์ (Western honey bee) หายไปอย่างฉับพลัน อันเป็นผลมาจากการใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์เป็นจำนวนมาก อันจะส่งผลต่อระบบนิเวศและชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังพูดถึงปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าอีกด้วย

เรามาดูกันในแต่ละท่อนเพลงดีกว่าครับ

[Chorus]

You can feel it in the streets

คุณจะรับรู้ถึงมันได้บนท้องถนน

On a day like this, the heat

ในวันที่ร้อนๆแบบนี้

It feel like summer

มันรู้สึกเหมือนเป็นหน้าร้อนเลย

I feel like summer

รู้สึกเหมือนหน้าร้อนเลย

I feel like summer

รู้สึกเหมือนหน้าร้อนเลย

You can feel it in the streets

คุณจะรับรู้ถึงมันได้บนท้องถนน

On a day like this, the heat

ในวันที่ร้อนๆแบบนี้

I feel like summer

ผมรู้สึกได้ถึงหน้าร้อนเลย

She feel like summer

เธอรู้สึกได้ถึงหน้าร้อนเลย

This feel like summer

รู้สึกได้ถึงหน้าร้อนเลย

I feel like summer

ผมรู้สึกได้ถึงหน้าร้อนเลย

ในท่อนนี้เหมือนเป็นการเกริ่นนำว่า ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตเราจะรู้สึกได้เลยถึงปัญหาต่างๆที่มันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นสภาพอากาศที่ในทุกๆวันนี้มันแปรปรวนและดูเหมือนว่าจะร้อนขึ้นๆในทุกๆวัน อันเป็นผลมาจากปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนั่นเอง

[Verse 1]

Seven billion souls that move around the sun

7 พันล้านดวงจิตที่ไหวเคลื่อนรอบดวงตะวัน

Rolling faster, faster and not a chance to slow down

Slow down

หมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น โดยไม่มีโอกาสที่จะช้าลง ช้าลง

Men who made machines that want what they decide

มนุษย์ได้สร้างเครื่องจักรที่จะทำตามในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

Parents tryna tell your children please slow down

Slow down

พ่อแม่พยายามบอกลูกๆให้ช้าลงช้าลง

เห็นได้ชัดเจนว่าในท่อนนี้มีการอ้างอิงถึงจำนวนประชากรโลก ที่ในตอนนี้มีอยู่ราวๆ 7.6 พันล้านคน โดยไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยถอยลงเลย คำว่า Rolling faster  จึงหมายความถึงอัตราการเพิ่มจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

พยากรณ์ได้ว่าในอีก 10-15 ปีข้างหน้าจำนวนประชากรโลกจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.5 พันล้านคน และในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นไปถึง หมื่นล้านคน !!!

นอกจากนี้คำว่า “Rolling”  ยังอาจหมายถึงปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นจากการที่​“ล้อหมุนก็คือจำนวนรถที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆวันซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะโรคร้อน ที่ไม่มีวี่แววว่ามันจะจบสิ้นลงเลย

ในท่อนที่ว่า “not a chance to slow down” นั้นอาจสื่อได้ถึงวิถีชีวิตของเราในทุกวันนี้ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมมากและไม่มีทีท่าว่ามันจะช้าลงเลย (ถึงแม้จะมีกระแส Slow Life ในช่วงนี้ก็ตาม)

ในท่อน “Men who made machines…” อาจดูเหมือนว่าจะพูดถึงหุ่นยนต์แต่แท้จริงแล้วนั้นมันน่าจะหมายถึง การใช้อำนาจจากผู้ที่มีอำนาจในการควบคุมความคิดอิสระของมนุษย์เราให้กลายเป็นเครื่องจักรกลที่ถูกป้อนโปรแกรมให้ทำตามในสิ่งที่พวกผู้มีอำนาจต้องการ

เด็กเป็นสัญลักษณ์ของจินตนาการ ความฝัน และ ความร่าเริง มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถหยุดการเจริญเติบโตของระบบทุนนิยมได้ ดังนั้นในท่อนที่ว่าParents tryna tell your children please slow down…” จึงอาจหมายถึงการที่พวกผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจ (ซึ่งคือกลุ่มคนที่เป็นทาสของระบบเรียบร้อยแล้ว) มองเด็กๆและความเยาว์เป็นความหวังที่จะทำให้ทุกสิ่งช้าลงได้

[Pre-Chorus]

I know

ผมรู้

Oh, I know you know that pain

โอ้ผมรู้ว่าคุณรู้จักความเจ็บปวดนั้น

I’m hopin’ that this world will change

ผมหวังว่าโลกนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลง

But it just seems the same

แต่แล้วมันก็เป็นเหมือนดังเดิม

(It is not the same)

(แต่จริงๆแล้วมันไม่เหมือนเดิม)

โกล์ฟเวอร์พยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ในการรับรู้ถึงปัญหาโลกร้อน มันเป็นปัญหาใหญ่เพราะว่าผู้คนทั่วไปมักจะคิดว่าโลกเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยทุกอย่างยังเหมือนเดิม ในขณะที่บางคนเริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง เช่น อากาศที่แปรปรวนและร้อนขึ้นทุกวันๆ จนทำให้รู้สึกสิ้นหวังแต่ถึงอย่างนั้นความสิ้นหวังนี้ก็อาจจำไปสู่การทำอะไรที่เป็นความหวังได้ในวันข้างหน้า

[Chorus]

You can feel it in the streets

On a day like this, the heat

It feels like summer

(I feel like summer)

I feel like summer

(I feel like summer)

I feel like summer

ท่อนนี้ใจความก็เหมือนเดิม

ต่อมาเป็น Verse 2 ซึ่งมีใจความที่น่าสนใจดังนี้

[Verse 2]

Every day gets hotter than the one before

มันร้อนขึ้นกว่าเดิมในทุกๆวัน

ในท่อนนี้สื่อถึงปัญหาโลกร้อนอย่างชัดเจน  5 วันก่อนหน้าที่เพลงนี้จะออกเผยแพร่ ย่านที่โกล์ฟเวอร์พักอาศัยอยู่คือ ลอสแองเจลิส รวมไปถึงแถบเซาท์แคโรไลนาทั้งหมดได้รับการบันทึกว่ามีอุณหภูมิสูงที่สุดในประวัติการณ์ นอกจากนี้ลอสแองเจลิสยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่อุณหภูมิระหว่างวันร้อนที่สุดเป็นอันดับที่ 13 อีกด้วย

Running out of water, it’s about to go down

Go down

น้ำกำลังจะหมดไป หมดลงไป หมดลงไป

ท่อนนี้สื่อถึงภาวะการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ที่ไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการ ถึงแม้ว่าโลกนี้จะปกคลุมไปด้วยน้ำกว่า 70% แต่มันมีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่ถูกนำไปใช้ได้ การจัดสรรน้ำนั้นไม่ได้มีการทำอย่างเท่าเทียมจึงทำให้ประชากรกว่าพันล้านคนต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำในทุกๆปี สาเหตุอื่นๆที่นำไปสู่ภาวะการขาดแคลนน้ำได้แก่การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก การพยายามยกระดับมาตราฐานชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การตัดไม้ทำลายป่า ปัญหามลภาวะ และภาวะโลกร้อน ยกตัวอย่างเช่นใน แคลิฟอร์เนียที่ซึ่งโกล์ฟเวอร์อยู่นั้นมีประวัติศาสตร์ของความแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำอันยาวนาน โดยพยากรณ์ว่าในราวปี 2025 อีกไม่กี่ปีข้างหน้า 2 ใน 3 ของประชากรโลกจะต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ

Air that kill the bees that we depend upon

อากาศได้ฆ่าทำลายชีวิตของหมู่ผึ้งที่เราพึ่งพิงอาศัย

Birds were made for singing

Waking up to no sound

No sound

เหล่านกที่เกิดมาเพื่อขับขานบทเพลง

กลับตื่นขึ้นมาโดยไร้เสียง

ไร้เสียง

สารเคมีที่ใช้ในภาคเกษตรกรรมได้พรากทำลายชีวิตเหล่าผึ้งทั้งหลาย และมีผลต่อการขยายพันธ์ุของพวกมัน ซึ่งภาวะการตายเป็นจำนวนมากของผึ้งนี้มีชื่อเรียกว่า ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย (Colony collapse disorder -CCD) ซึ่งมีผลต่อผลิตผลในภาคเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก เพราะกว่า 1 ใน 3 ของอาหารที่มนุษย์บริโภคนั้นมีควาเมกี่ยวพันกับการถ่ายเรณูของพวกผึ้ง หากไม่มีผึ้งเหล่านี้แล้ว พวกเราคงต้องทำการถ่ายเรณูพืชพรรณทั้งหมดด้วยตัวเอง

อีกทั้งในตอนนี้พวกเรากำลังประสบกับภาวะสูญพันธุ์ มากกว่าพันสายพันธุ์กำลังประสบปัญหาเนื่องจากการขยายตัวและการเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างมากของฟาร์ม ซึ่งแน่นอนปัญหานี้มันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เรานี่ล่ะ

[Pre-Chorus]

I know

Oh, I know you know my pain

I’m hopin’ that this world will change

But it just seems the same

I know

Oh, I hope we change

I really thought this world would change

But it seems like the same

[Outro]

I know

Oh, my mind is still the same

I’m hoping that this world will change

But it just seems the same

I know

Oh, I hope we change

เนื้อความในสองท่อนท้ายนี้ก็เป็นเช่นเดิม เป็นสารที่แสดงความห่วงใยต่อโลกใบนี้ อันเป็นถื่นพักเรือนนอนของผองมนุษย์เราทั้งหลาย ที่คงไม่มีใครจะช่วยได้หากไม่ใช่พวกเรากันเองนี่ล่ะ

เรียกได้ว่ามากี่ทีพี่ก็ไม่เคยธรรมดาเลย รู้สึกว่า Childish Gambino จะมีทีเด็ดเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้งานเพลงและ MV ของศิลปินคนนี้เป็นงานศิลปะที่ดีชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งมันไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงกับผู้รับชมเท่านั้นหากแต่ยังสะท้อนแง่มุมความจริงของโลกเราในทุกวันนี้ให้เราได้ขบคิดและเกิดแรงกระตุ้นให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อดำรงเอาไว้ซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขอย่างยั่งยืนในโลกที่เราอยู่อาศัยนี้โดยที่ไม่ได้แค่เพียงรอการล่มสลายของมันเท่านั้น

ที่มา

https://www.bbc.co.uk/news/newsbeat-45389787

https://genius.com/Childish-gambino-feels-like-summer-lyrics