[รีวิว] The Pool นรก 6 เมตร: หนังโคตรตลกร้าย ดูเอาบันเทิงจะเถิดเทิงมาก
Our score
8.0

The Pool นรก 6 เมตร

จุดเด่น

  1. ตลกร้ายสัตว์ ๆ ใครชอบแนวนี้โคตรบันเทิง
  2. ฉากจบชวนช็อก
  3. ความแหวกและแตกต่าง สดใหม่มาก

จุดสังเกต

  1. สถานการณ์กลั่นแกล้งแบบจงใจมากไป
  2. บทพูดยังแปร่ง ๆ
  3. ใครหวังมาดูหนังเอาตัวรอดเข้ม ๆ เพียว ๆ อาจผิดหวัง มันหนังตลกร้ายน่ะ
  • คุณภาพงานสร้าง

    7.5

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    6.5

  • นักแสดง

    9.0

  • ความสนุก

    8.5

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    8.5

Play video

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ

“เดย์” (เคน ธีรเดช ) ฝ่ายอาร์ตกองถ่ายโฆษณา ถูกทิ้งให้อยู่โยงเคลียร์สระกระโดดน้ำร้างแต่เพียงลำพังหลังเลิกกอง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งคืน เดย์เผลอหลับบนแพยาง โดยไม่ทันตระหนักว่าเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายที่เพิ่งกลับไป ได้เปิดระบบปล่อยน้ำในสระออกไปแล้ว และเมื่อเดย์รู้สึกตัวอีกที เขาพบว่าระดับน้ำได้ลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถปีนขึ้นจากสระได้ เดย์พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆ “ก้อย” (เกรซ รัชย์ณมนทร์ ) แฟนสาวของเดย์ ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เขาที่สระ ด้วยการโดดลงมาหาจากแท่นกระโดด โดยไม่ทันได้สังเกตระดับน้ำ ซึ่งเสียงตะโกนห้ามของเดย์ ทำให้ก้อยเสียจังหวะ พลาดตกลงไปในสระจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ในขณะที่ทั้งคู่กำลังอับจนหนทาง และเฝ้าปลอบใจตัวเองว่า “คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว” จระเข้ตัวเขื่อง ที่มาจากไหน ไม่มีใครรู้ กลับกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นอกจากการเอาชีวิตรอด จากสระลึก 6 เมตร ที่ไม่มีน้ำ ไม่มีบันได และไม่มีทางออกแล้ว บทเริ่มต้นของ “มัจจุราชเงียบ” ที่แท้จริงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

หนังไทยช่วงปีกว่า ๆ นี้มีพลอตแหวก ๆ มาให้ตลาดคนดูไทยรู้สึกมีความหวังกันหลายต่อหลายเรื่องเลย ตั้งแต่ ฉลาดเกมส์โกง หรือจะเป็น App War แอปชนแอป  ตลอดจนหนังสารคดีที่ขึ้นมาตลาดบนได้น่าชื่นชมอย่าง BNK48 Girls Don’t Cry และ 2,215 เชื่อบ้ากล้าก้าว ก็น่าภูมิใจ และล่าสุดก็มีหนังสไตล์เซอร์ไววัลหนีตายจากสัตว์ร้ายในพื้นที่ปิดซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นในหนังไทยอย่าง The Pool นรก 6 เมตร นี่ล่ะ น่าสนใจในความกล้าแหวก

นี่เป็นการกลับมาหลังจากหายไปนานของทั้งผู้กำกับอย่าง พิง ลำพระเพลิง หลังจากหายไปร่วม 4 ปีหลังจากหนังอย่าง ปอบหน้าปลวก (2557) และนักแสดงนำชายยอดนิยมอย่าง เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ที่หายไปจากวงการหนังกว่า 9 ปีหลังจาก รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (2552) และเป็นการมาร่วมมือกันครั้งแรกภายใต้ค่ายหนังกล้าทำอย่าง T Moment ซึ่งปีนี้มีหนังลงโรงหลายเรื่องเลยก่อนหน้านี้ก็เพิ่งปล่อย App War แอปชนแอป ที่โดนใจคอหนังไทยคุณภาพกันไปหลายคน มาเรื่องนี้ก็เป็นการยืนยันล่ะว่าค่ายทีโมเม้นท์ นี่เขากล้านำหนังไทยอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ

หนังเล่าเรื่องได้กระชับแค่ 91 นาที ใส่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง และกระหน่ำซ้ำเติมความซวยให้ตัวละครอย่างไม่ยั้งมือ คือซวยจนเราสงสาร ทั้งที่เราไม่ได้อินกับอาชีพพระเอกหรือเอาใจช่วยคู่รักคู่นี้นักในตอนเริ่ม แต่พอหนังมันเล่นไปเรื่อย ๆ เราก็เกิดสงสารทั้งคู่จับใจเลย คนอะไรมันจะซวยได้เบอร์นี้ ซึ่งไอ้เหล่าสถานการณ์พาซวยทั้งหลายมันก็ผสมปนเปนะ ทั้งที่ดูคิดมาดีฉลาดและรู้สึกเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญซวย จนถึงความซวยที่เราต้องอุทานเชี่ยไรมรึงเนี่ยออกมา ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบอย่างแรง แต่มองในแง่ความบันเทิง มันได้ลุ้นและได้ฮอาในความตลกร้ายของมันอย่างไม่น่าเชื่อนะ ดูให้บันเทิงนี่จะมีความสุขมาก และขอยืนยันว่าตอนท้ายนี่โคตรตลกร้าย สบถกันลั่นโรง เชี่ยยยยย 55555

จากการที่ดูต้องบอกว่านี่คือการแสดงที่น่าชื่นชมแบบทุ่มสุดตัวของเคนจริง ๆ  คงมีพระเอกหน้าหล่อไม่กี่คนหรอกที่จะเล่นสตั้นท์ด้วยตัวเอง ทั้งล้มลุกคลุกคลานถูลู่ถูกังไปกับพื้นกระเบื้องแตก ๆ ชองสระว่ายน้ำ แถมต้องโดนสลิงห้อยเหวี่ยงสะบัดแบบนี้ ทั้งฉากอารมณ์ที่ต้องถ่ายทอดความสิ้นหวัง โดยเฉพาะฉากอารมณ์กับเกรซนี่พลังดีมากทั้งเคนทั้งเกรซเลย เสียดายที่ฉากให้ปล่อยของมีไม่มาก และจะบอกว่าเคนต้องใช้ประสบการณ์การแสดงเพื่อแบกหนังทั้งเรื่องก็ไม่ผิดนัก เพราะทั้งเรื่องมีอยู่ไม่กี่ตัวละคร และก็เป็นการตัดสินใจถูกของค่ายหนังที่ได้เคนมาจริง ๆ

ที่ต้องชื่นชมต่อคือความตั้งใจของทีมสร้างหนัง คือเรารู้ล่ะว่าหนังตั้งใจให้สมจริงมากขนาดว่าผู้กำกับพิงเลือกถ่ายด้วยจระเข้จริงที่ยังติดดุตามธรรมชาติเพราะเลี้ยงในบ่อดิน ไม่ได้เซื่อง ๆ แบบพวกจระเข้บ่อฟาร์ม แล้วเอามาเข้าฉากโดยยุให้มันกราดเกรี้ยวเข้าอีก แต่นอกจากนั้นหนังยังเพิ่มความเหี้ยมด้วยซีจีให้จระเข้ดุดันยิ่งไปอีก โดยได้ Riff Studio ที่มาแรงมากในฐานะสตูดิโอทำเทคนิคพิเศษด้านภาพ ที่ล่าสุดก็มีงานฉากต่อสู้ใน 9 ศาสตรา เป็นการันตีอยู่แล้วด้วย แต่พูดกันตามตรงคือตัวซีจียังไม่ได้ทำงานได้ดีอย่างที่ตั้งใจ ด้วยงบแบบหนังไทยก็คงทำเนี้ยบยาก แต่ก็นั่นล่ะบางทีฉากที่ใช้จระเข้จริงมามันทรงพลังในความสมจริงกว่าเยอะมาก มันมีความเป็นสัตว์ที่เดาทางไม่ได้ ถึงไม่ต้องกราดเกรี้ยวแค่ยืนนิ่ง ๆ เราก็รู้สึกได้มากพอแล้ว

ในขณะที่จระเข้ซีจีอาจได้เปรียบในแง่การสื่อสารอารมณ์และฉากสตันท์ต่าง ๆ ที่ทำได้มากกว่า แต่มันทำให้เรารู้สึกเดาทางออกไปหมด เพราะมันเอาความเป็นคนไปใส่ในสัตว์ทั้งอารมณ์ความคิดหลักคิดเหตุผลแบบคนเลย เราเลยรู้ล่วงหน้าไปหมด ตรงนี้คิดว่าทีมหนังคงชั่งข้อดีข้อเสียจนออกมาทางนี้ล่ะ แต่ก็เสียดายนะที่พลังมันลดไปเยอะ อยากให้พี่พิงใช้ของจริงให้หมดซะเลย แล้วใช้ซีจีแค่ที่จำเป็นจริง ๆ ตามความตั้งใจเดิมพอ แต่แบบนั้นหนังอาจบันเทิงน้อยลงล่ะนะ

จระเข้จริงเข้าฉากจริง

โดยสรุปหนังมีการคิดเส้นเรื่องที่แหวกโคตร ๆ ตลกร้ายมาก ๆ บทสนทนาบางช่วงยังดูประดักประเดิดไม่ธรรมชาติ ซีจีก็ยังมีความลอย แต่มั้งหมดทั้งมวล เรามองเห็นความบันเทิงของหนังที่มอบให้ผู้ชมได้เยอะ เป็นหนังไทยที่คุ้มราคาค่าตั๋วในแง่ความบันเทิงมาก ๆ ครับ

 เขาว่าจระเข้เป็นสัตว์ซ่อนลิ้น แต่ดูรอบหนังจองหนังง่ายๆไม่ต้องซ่อนลิ้งก์ กดที่รูปโดยพลัน