Play video

The Ballad of Buster Scruggs เป็นหนังฉายลงเน็ตฟลิกซ์ ที่ได้ผู้กำกับสายรายวัลเข้มข้นอย่างพี่น้องโคเอน ทั้งโจเอล และอีธาน มาเขียนบทและกำกับร่วมกัน โดยเนื้อเรื่องจะเป็นบท ๆ แยกส่วนกันจำนวน 6 บท เรียงร้อยผ่านหนังสือนิยายแนวคาวบอยชื่อเรื่องว่า The Ballad of Buster Scruggs ซึ่งมีบทแรกของหนังเป็นชื่อเดียวกับหนังสือด้วย โดยก่อนจะเข้าแต่ละบทหนังจะใบ้เราด้วยหน้ารูปภาพของบทนั้น ๆ เหมือนหนังสือเก่า ๆ และมีข้อความที่สำคัญในตอนนั้น ๆ โดยเราจะยังโยงไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งขอบอกเลยว่าลีลาแพรวพราวของพี่น้องโคเอนเขาสำแดงฝีมือกันเต็มที่ บทสนทนาและการเดินเรื่องน่าสนใจ และคาดเดาได้ยากมาก ทุกจังหวะคือความเซอร์ไพรส์คนดูตลอดเวลา คือถ้าลองเริ่มดูไปแล้วจะมีแต่ความอยากใคร่รู้ ไม่มีเบื่อเลยจริง ๆ

ตอนที่ 1 The Ballad of Buster Scruggs

ว่าด้วยเรื่องราวของ บัสเตอร์ สครักส์ (ทิม เบลก เนลสัน) สิงห์ปืนไวเจ้าสำอางผู้ชื่นชอบการร้องเพลง แม้เขาดูไม่ชอบการมีเรื่องแต่ด้วยชื่อเสียงและเงินค่าหัวที่ติดตัวเขามาทำให้ทุกวี่วันและที่หนแห่งที่เขาไปล้วนแต่เกิดปัญหาขึ้น “ในโลกตะวันตกจากเรื่องหนึ่ง ๆ อาจจะบานปลายกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้เสมอ บางทีผมน่าจะหันไปทำธุรกิจรับจัดงานศพด้วย” สครักส์บอกกับผู้ชม และก็เป็นดั่งเขาว่า นี่เป็นตอนที่คารวะความเป็นตะวันตกในยุคหนังเพลงได้ดีมาก ทั้งกลิ่นอาย การยั่วล้อ ความรุนแรงและขำขัน เป็นการเปิดตัวหนังได้อย่างสนุกเพลิดเพลินมาก

ตอนที่ 2 Near Algodones

ว่าด้วยเรื่องของ คาวบอยหนุ่ม (เจมส์ ฟรานโก้) ที่หวังปล้นธนาคารใกล้เมืองอัลโกโดเนส ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีนายธนาคารแก่ที่รับมือโจรเก่งที่สุด เล่าเท่านี้ล่ะ เพราะหนังพาเราไปเจอความไม่แน่นอนของชีวิตแบบสไตล์บ้านป่าเมืองเถื่อนได้สนุกมาก ฟรานโก้เปลี่ยนลุคจนเกือบนึกไม่ออก คราวนี้มามาดนิ่ง ๆ แต่ก็แฝงความกวนและความหล่อได้เหมือนเดิม เป็นตอนที่สนุกแบบบันเทิงเลยล่ะ

ตอนที่ Meal Ticket

ในโลกตะวันตกไม่ได้มีเพียงเรื่องราวของคาวบอยและการดวลปืนเท่านั้น ชีวิตปุถุชนทุกคนล้วนต้องการความบันเทิงในโลกอันจืดชืด ตอนนี้ว่าด้วยเรื่องของคณะนักแสดงเร่ร่อนที่เดินทางไปแสดงในแต่ละเมือง โดยมีหัวหน้าคณะเป็นชายวัยกลางคน (เลียม นีสัน) ที่ต้องดูแลศิลปินพิการทั้งแขนขา (แฮร์รี่ เมลลิ่ง) หากแต่ฝีปากในการเล่าเรื่องนั้นชวนฝันและเปี่ยมแรงบันดาลใจ ตอนนี้เป็นตอนที่ไต่ละดับลงมาสัมผัสชีวิตคนทั่วไปในโลกตะวันมากขึ้น และเปลี่ยนมู้ดของเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม เป็นแนวดราม่าสายสัมพันธ์ของคนที่ดีมาก ๆ ครับ อันนี้ต้องชื่นชมทั้งเลียม นีสัน และโดยเฉพาะแฮร์รี่ เมลลิ่ง จากเจ้าหนูที่เล่นเป็น ดัดลีย์ เดอร์สลีย์ ญาติสุดแสบของแฮรี่ พ็อตเตอร์ มาเล่นเป็นศิลปินพิการที่ใช้สายตาเล่นเสียส่วนใหญ่ก็กินใจมาก ฉากสุดท้ายที่เขาชะเง้อมองตามนี่สุดจริง ๆ

ตอนที่ 4 All Gold Canyon

อีกเสน่ห์ของโลกตะวันตกที่ขาดไม่ได้ คงเป็นการขุดทองหวังรวยแบบโครมครามของนักแสวงโชค ในตอนนี้เล่าถึง ชายแก่ (ทอม เวตส์) ผู้ดั้นด้นเข้ามากลางหุบเขาพร้อมลาที่ดูแก่ไม่แพ้กัน เขาสำรวจและเริ่มหาสายแร่ทองคำไปพร้อมกับการพยายามมชีวิตรอดจนกว่าจะเจอกับทองคำ โดยไม่รู้ว่านอกจากธรรมชาติแล้วยังมีสิ่งอื่นที่คอยจ้องมองเขาอยู่ด้วย เป็นตอนที่สวยงามมาก ๆ แสดงบรรยากาศธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ ได้เห็นวิธีหาทองคำที่เพิ่งรู้นี่ล่ะ และยังใส่ความรู้สึกถึงความงดงามแห่งชีวิต ความแก่ ความฝัน การต่อสู้และความหวังได้สวยสุด ๆ เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกแบบ The Old Man and the Sea ของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ อยู่ไม่น้อยเลยครับ

ตอนที่ 5 The Gal Who Got Rattled

ขบวนคาราวานข้ามแดนผ่านทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา และอันตรายที่แวดล้อมซ่อนเร้นรอคอยการคุกคามก็มีไม่น้อยทั้งเผ่าอินเดียนแดง กลุ่มโจร และฝูงสัตว์ร้าย ในตอนนี้อาจเปิดตัวได้ช้าหน่อยเพราะกว่าจะเข้าเรื่องของ อลิส ลองกาโบ (ซู คาซาน) หญิงสาวผู้ต้องย้ายตามพี่ชายเพื่อไปดูตัวกับคนที่ไม่เคยพบในแดนห่างไกล ก็ต้องผ่านฉากสนทนาที่แสบแซ่บไปพอสมควรก่อน และพอเข้าเรื่องก็ไหลลื่นยาวเลย อุปสรรคของผู้หญิงในโลกตะวันตกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ถูกสะท้อนผ่านหนังตอนนี้ได้ลึกซึ้งมาก ทั้งเธอที่ต้องแต่งงานตามคำของพี่ชาย ทั้งเด็กรับใช้ที่โกงเงินค่าจ้างแต่เธอก็ต้องพึ่งเขา ทั้งทางออกของปัญหาที่ต้องพึ่งพาผู้ชายแทบทุกอย่าง แม้แต่หมาตัวผู้ของพี่ชายก็ยังมีอำนาจเหนือเธอในบางแง่มุม และตอนจบก็สุดแสนจะเจ็บแสบมาก ไม่อยากสปอยล์ ซู คาซาน เล่นเป็นเด็กสาวที่ไม่มีความมั่นใจและต้องรับมือกับโลกทั้งใบด้วยตัวคนเดียวได้เก่งมากจนต้องชื่นชม

ตอนที่ 6 The Mortal Remains

ถ้านับมาทั้งหมดตอนนี้เป็นตอนที่มีความไต่บันไดดูมากสุด แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่องนะ และยังเป็นตอนที่แสดงความเป็นพี่น้องโคเอนได้มากที่สุดด้วย ทั้งบทสนทนาที่ไหลลื่นชวนติดตาม ความพลิกไปมาของเรื่องแม้จะแค่นั่งสนทนากันทั้งตอนก็ตาม และการสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้ใจและหวาดกลัวแบบฉับพลันขึ้นมาได้เสียวสันหลังสุด ๆ นี่คือโชว์การเป็นนักเล่าเรื่องที่โคตรเก่งของพี่น้องโคเอนมาก ๆ ตอนนี้เป็นตอนที่มีนัยยะของนามธรรมอย่างความตายและเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ในที ผ่านตัวละครหลากหลายทั้งนักล่าสัตว์ หญิงสูงศักดิ์ คนฝรั่งเศส คนไอริช และคนอังกฤษ และอาจต้องรวมถึงศพและคนขับรถม้าด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแล้วแต่ใครตีความ แต่ส่วนตัวรู้สึกสนุกกับการดูการสนทนาว่าด้วยมนุษย์ รวมถึงการสะท้อนแง่มุมของความตายมาก เป็นตอนปรัชญาที่ลุ่มลึกขบขัน สยอง และสนุกมาก ๆ ปิดท้ายเรื่องเล่าจากดินแดนตะวันตกอันล่วงพ้นมาแสนนานได้อย่างดีเลยครับ

จุดด้อยของหนังมีเพียงจุดเดียวจริง ๆ ครับคือซีจีบางช่วงดูไม่เนียนแบบลอยเลยล่ะ โดยเฉพาะตัวกวางในตอนที่ 4 นี่ชัดมาก แต่ก็เป็นจุดอ่อนเล็กน้อยมากจริง ๆ เมื่อเทียบกับเรื่องราวสุดเจ๋ง การเล่า การถ่ายภาพ และการตัดต่อ รวมถึงบทเพลง ที่ได้กลิ่นอายตะวันตกโบราณชวนคิดถึงมาก ๆ ใครที่เคยได้ยินว่าดินแดนตะวันตกมันเต็มไปด้วยเรื่องสุดแสนโรแมนติกแล้วไม่เข้าใจ ลองดูเรื่องนี้เลยครับเป็นหนังที่โคตรดีครับอยากให้ลองชมดู มีฉายทางเน็ตฟลิกซ์แล้ว และหวังว่าออสการ์ปีหน้าเราจะได้เห็นชื่อหนังเรื่องนี้เข้าไปโลดแล่นในเวทีประกาศรางวัลด้วยเช่นกัน หลังจากไปคว้ารางวัลบทหนังยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเวนิสมาแล้ว

10/10 ครับเรื่องนี้

ใครเป็นสมาชิกอยู่แล้วชมได้ที่ลิ้งก์นี้เลยครับ https://www.netflix.com/watch/80200267