[รีวิว] The Unthinkable: ไม่คาดคิด..ว่าจะจุกอย่างนี้
Our score
8.3

The Unthinkable

จุดเด่น

  1. ดราม่าทำดี จุกหลายฉาก
  2. ดีไซน์ฉากสวย
  3. พลอตสร้างความน่าสงสัยน่าติดตาม
  4. การแสดงโดดเด่นโดยเฉพาะบทพ่อ แม่และลูกชาย

จุดสังเกต

  1. หนังกึ่มๆจะหนังอาร์ตในบางฉาก โดยเฉพาะตอนจบ อาจไม่ถูกรสผู้ชมส่วนใหญ่
  2. ตัวละครหลักดูงี่เง่าน่ารำคาญหลายครั้ง ไม่สะใจแฟนหนังเดอะร็อก
  • ตรรกะความสมเหตุสมผลของบท

    8.5

  • คุณภาพนักแสดง

    8.5

  • ความสนุก

    8.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    8.5

  • คุ้มเวลา+ค่าตั๋ว

    8.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ

อเล็กซ์ นักเปียโนหนุ่ม ต้องเอาตัวรอดจากการโจมตีปริศนาทั่วกรุงสต็อคโฮลม์ เพื่อให้รอดกลับไปพบกับ แอนนา คู่รักของตัวเองอีกครั้งโดยที่ต้องหาคำตอบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วิปโยคในครั้งนี้ไปพร้อมกัน

Play video

หนังจากฝั่งสวีเดนที่นาน ๆ จะมีมาให้ชม ยิ่งถ้าไม่ใช่หนังสายอาร์ตสายรางวัลด้วยแล้วยิ่งน่าจะเป็นอะไรที่พิเศษมากขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้เราก็ได้รับเชิญจากทางค่ายสหมงคลฯ ได้มารับชมก่อนใครกันเลย และหนังที่ทางค่ายมั่นใจเปิดรอบพิเศษแบบนี้ก็มักจะมี “ของ” ไม่ธรรมดาในทางใดทางหนึ่งเสมอ อย่างเรื่อง Green Book ที่ได้ออสการ์ปีล่าสุดทางค่ายสหมงคลฯ ก็มั่นใจจัดรอบพิเศษแบบนี้ให้เช่นกัน

เรื่องนี้จัดเป็นหนังสวีเดนสายแมส สายแอคชั่นที่การันตีด้วยรางวัลจากหลายเทศกาล โดยเฉพาะ จูรี่ไพรซ์ จากเทศกาลหนังแฟนตาซีอย่าง Screamfest 2018 ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกหลายเวทีเลยด้วย ซึ่งคงต้องจับตาดูชื่อผู้กำกับอย่าง วิกเตอร์ ดอเนลล์ และ นักแสดงนำที่มาร่วมเขียนบทด้วยอย่างคริสโตเฟอร์ นอร์เดนรอท ว่าจะได้เปิดตัวกับหนังฮอลลีวู้ดในอนาคตหรือไม่ ซึ่ง The Unthinkable ก็เป็นก้าวแรกที่น่าสนใจในการทำความรู้จักทั้งคู่ไว้ก่อนมาก ๆ

หน้าหนังนั้นค่อนข้างหลอกเราพอสมควรทั้งเรื่องที่ว่าหนังเป็นแนว หายนะภัย หรือแนวแอคชั่น โลกาวินาศ ทั้งปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นก็ราวกับจะให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของพลังนอกโลกก็ไม่ปาน ซึ่งอาจเพราะติดกับภาพหนังฮอลลีวู้ดของเราเองมากไปด้วยมั้ง พอได้ดูตัวหนังจริงก็ทำเอาอ้าปากค้างอยู่หลายห้วงเวลาเหมือนกัน

อ้าปากค้างแรก หนังเปิดเรื่องเกือบชั่วโมงด้วยการเล่าที่มาที่ไปของครอบครัวอเล็กซ์ ที่พ่อเป็นอดีตทหารสายข่าวกรองสุดเข้มงวด แม่นั้นใจดีแต่ก็ทนรับความรุนแรงของพ่อไม่ไหว ส่วนตัวอเล็กซ์ก็โตมาแบบเด็กมีปัญหาเขารักดนตรีแต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน เขารักชอบพอกับแอนนาเพื่อนข้างบ้านแต่ก็ต้องจากกันไปเพราะเธอต้องย้ายบ้านตามแม่ที่ทำงานการเมืองไปสต็อกโฮล์ม สุดท้ายอเล็กซ์ก็เลือกหนีทุกอย่างไปเช่นกัน มันกลายเป็นว่าหนังเปิดด้วยดราม่าและปรับการคิดของคนดูใหม่ได้อย่างชวนจุก ว่านี่คือเรื่องราวของคนธรรมดา มีปัญหาในชีวิตที่เห็นได้ทั่วไปทั้งสุขเศร้ารักหลง สับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตนเอง และยังต้องผจญกับวิกฤตการล่มสลายในชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหนึ่งในนั้นคือการที่ประเทศถูกโจมตีจากบางสิ่งจนแทบสิ้นบ้านสิ้นแผ่นดิน

ต้องยอมรับว่าตัวละครอเล็กซ์เป็นตัวละครที่น่าหงุดหงิดมากสำหรับคอหนังฮีโร่ แต่หนังก็ทำให้เราเข้าใจได้ดีว่านี่คือคนธรรมดามีปัญหาในชีวิต และเลือกกระทำแบบที่ไม่ใช่ เดอะร็อก หรือพลพรรคมาร์เวลจะทำแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นข้อดีเพราะเราไม่รู้ว่าอเล็กซ์จะทำอะไร จะคุ้มดีหรือคุ้มร้ายกับการตัดสินใจในช่วงไหนบ้าง

อ้าปากสอง ถึงจะบอกว่าแอคชั่นไม่เน้น แต่หนังก็มีความระทึกขวัญในแบบที่น่าจดจำเข้ามาชดเชยหลายฉากจัดว่าออกแบบมาสวยและน่ากลัวมาก อย่างฉากที่ตัวละครหนึ่งกำลังหนีจากการไล่ล่าของบางอย่างไปตามถนน แล้วต้องเจอกับรถที่ไร้การควบคุมหลายต่อหลายคัน มันเป็นการชนกันที่สวยมาก ๆ สมจริงมาก ๆ ฉากหนึ่งเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าผุ้กำกับดอเนลล์เป็นคนมีของคนหนึ่ง ที่ผสมอาร์ตกับแมสได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ยังไม่รวมถึงการดีไซน์การเล่าเรื่องที่ขยี้ยังกับหนังญี่ปุ่น ที่ทำเอาเราต้องถอนหายใจด้วยความเศร้าและเสียดายไปกับตัวละครอีกหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือฉากสั้น ๆ ที่กระทบใจเราไปแทบทั้งเรื่องเพียงแค่การไม่ได้รับสายโทรศัพท์ก็ทำเอาจุกไปหลายระดับได้เลยทีเดียว

โดยสรุปนี่เป็นหนังสายดราม่าคุณภาพที่มีฉากหลังเป็นเรื่องราวระทึกขวัญหาพร้อมกับการแก้ไขความผิดพลาดในชีวิตของตัวละครแต่ละตัว ทั้งยังมีประเด็นเสียดสีสังคมและการเมืองได้น่าจุกพอกัน เป็นหนังสวีเดนที่คงไม่ได้เจอบ่อย ๆ คนดูสายแอคชันอาจไม่ประทับนัก สำหรับคนทั่วไปน่าจะให้คะแนนอยู่ที่ราว 6-7 คะแนน แต่ถ้าใครอ่านมาแล้วคิดว่าคอเดียวกันคุณน่าจะให้คะแนนพอ ๆ กับผมที่ 8-9 คะแนนครับ

หนังสวีเดนสุดเซอร์ไพรส์ จะพลาดได้ไง ต้องกดที่รูปเลย