Shaft มือปราบผิวเข้มผู้ไม่เกรงกลัวอิทธิผลใดๆ และเป็นที่เกรงขามของเหล่าอาชญากร ได้กลับมาอีกครั้งโดยยังคงได้นักแสดงรุ่นใหญ่ Samuel L. Jackson (ซามูเอล แอล. แจ็กสัน) กลับมารับบทนักสืบ John Shaft เช่นเดิม ภายใต้การกำกับของ Tim Story (ทิม สตอรี) ที่เคยมีผลงานแอคชันอย่าง Taxi (2004), Fantastic Four (2005) และ Ride Along (2014)

Shaft กลับมาอีกครั้ง

Shaft เป็นภาพยนตร์แอคชันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อปี 1971 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของฮอลลีวูดที่มีตัวครหลักฉายเดี่ยวเป็นนักแสดงผิวดำ นั่นคือ Richard Roundtree (ริชาร์ด ราวด์ทรี) โดยมีบุคลิกเป็นแต่งตัวดี เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ท่าทางน่าเกรงขาม พูดจาโผงผางไม่สนใจอิทธิพลหน้าไหน และขยันปล่อยคำคมเท่ อยู่บ่อยครั้ง

ต่อจากนั้นก็ได้มีการสร้างภาคต่ออีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • Shaft’s Big Score! (1972)
  • Shaft in Africa (1973)
  • ซีรีส์ทางโทรทัศน์ Shaft (1973 – 1974)

และที่เป็นการกลับมาอย่างน่าชื่นชม และประสบความสำเร็จเอามากๆ คือ Shaft (2000) ที่เป็นการรีบูตเรื่องราวเสียใหม่โดยให้ Samuel L. Jackson (ซามูเอล แอล. แจ็กสัน) รับบทเป็นหลานชายของ Shaft ที่มีฝีมือดุดันไม่แพ้กัน ภายใต้การกำกับของ John Singleton (จอห์น ซิงเกิลตัน) ที่เคยมีผลงานที่น่าจดจำอย่าง Boy n the Hood (1991) รวมถึงภาพยนตร์ในยุคหลังๆ อย่าง 2 Fast 2 Furious (2003) และ Four Brothers (2005)

สำหรับ Shaft (2019) นั้น เป็นเรื่องราวของ John Shaft Jr. (รับบทโดย เจสซี่ อัชเชอร์) เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ด้านไซเบอร์ของเอฟบีไอ ที่พบว่าเพื่อนสนิทของตนในวัยเด็กได้ถูกฆาตกรรมอย่างน่าสงสัย แต่เนื่องด้วยกระบวนการยุติธรรมไม่เอื้อให้เขาพิสูจน์ความจริงได้ เขาจึงต้องหันไปพึงพาพ่อของเขา John Shaft (รับบทโดย ซามูเอล แอล. แจ็กสัน) นั่นเอง ซึ่งเป็นบุคคลที่ Maya แม่ของเขา (รับบทโดย เรจินา ฮอล) ไม่อยากให้พบเจอมากที่สุด

เดินเรื่องดี แต่บทจืดไปหน่อย

เนื่องจาก Shaft (2019) ห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง 19 ปี จึงได้มีการเปิดเรื่องย้อนหลังไปในปี 1989 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Maya เห็นแล้วว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกของ Shaft นั้นอันตรายมาก จึงได้ตัดสินใจแยกออกมาเลี้ยงลูกตามลำพังโดย Shaft ยังคงส่งของขวัญแสดงความคิดถึงต่อลูกของเขาในทุกๆ ปี จากนั้นก็ตัดสลับภาพไปอย่างรวดเร็วมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ต้องยอมรับว่าผู้กำกับ ทิม สตอรี สามารถเดินเรื่อง Shaft (2019) ได้อย่างลื่นไหล ให้น้ำหนักตัวละครได้ดี และมีฉากโชว์ความเก๋าและฝีมือของ Shaft อยู่บ่อยครั้ง เพื่อย้ำเตือนให้ผู้ชมรู้ว่า …นี่คือ Shaft นะ!

สิ่งที่ยังเป็นปัญหาชัดเจนคือ บทภาพยนตร์ที่พยายามใส่ความเป็นคู่หูระหว่างพ่อลูกลงไป ซึ่งไม่มีประเด็นอะไรให้ผู้ชมได้มีอารมณ์ร่วมมากนัก นอกเหนือจากการแสดงให้เห็นคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันของตัวละครจาก 2 ยุค ซึ่งไม่มีอะไรใหม่สำหรับยุคนี้

ปมการสืบสวนต่างๆ ในภาพยนตร์ทำได้พอประมาณ มีการหยิบยกประเด็นความชัดแย้งด้านเชื้อชาติมาใช้ แต่ก็มิได้ลงลึกในรายละเอียด เนื่องจากต้องการไปโฟกัสที่ตัวละครพ่อลูกมากกว่า

ในส่วนของมุขตลกนั้น ทิม สตอรี สามารถคุมโทนในส่วนนี้ได้ดี ไม่มีมากจนเลอะ แต่ในขณะเดียวกันกลับไปลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวละครลงไป

ฉากที่น่าประทับใจ ซึ่งแสดงให้เห็นทั้งปัญหาระหว่าง Shaft ผู้พ่อ และ Maya ไปจนถึงการที่ Shaft Jr. พยายามเผยความในใจกับ Sasha (รับบทโดย อเล็กซานดร้า ชิปป์) หญิงสาวคนสนิทที่ตนเองหลงรัก คือ การดวลปืนในร้านอาหาร ที่ค่อนข้างจะโกลาหล แต่การตัดต่อและดนตรีประกอบนั้นช่วยยกระดับความบันเทิงขึ้นมาได้มากทีเดียว

อีกสิ่งที่น่าจดจำคือ ดนตรีประกอบในสไตล์ Classic, Soul และ R&B จากฝีมือการประพันธ์ของ Chris Lennertz (คริสโตเฟอร์ เลนเนิร์ตซ) ผู้ชนะรางวัล Grammy ก็ช่วยประคองอารมณ์ของภาพยนตร์ให้มีกลิ่นอายย้อนไปถึง Shaft ภาคก่อนๆ ได้อย่างน่าชื่นชม

Samuel L. Jackson คือ Shaft แห่งยุคนี้

สำหรับนักแสดงนั้น ถึงแม้ว่าบทส่วนใหญ่จะเทมาทาง Jessie T. Usher (เจสซี่ อัชเชอร์) ผู้รับบท John Shaft Jr. ค่อนข้างมาก เพื่อให้สานต่อตำนานของ Shaft ในอนาคต แต่ด้วยฝืมือการแสดงระดับสุดยอดของ Samuel L. Jackson (ซามูเอล แอล. แจ็กสัน) ก็แทบจะทำให้เขากลายเป็นแกนหลักของเรื่อง มีสีสัน และมีความน่าสนใจมากกว่า

เขาทำให้ Shaft กลายเป็นตัวละครของเขาได้อย่างสมบูรณ์

อีกทั้งผู้ชมจะได้เห็น Richard Roundtree (ริชาร์ด ราวด์ทรี) ผู้รับบท Shaft ในตำนานกลับมาปรากฏตัวบนหน้าจออีกครั้ง

ในขณะที่ Regina Hall (เรจินา ฮอล) ที่เคยรับบทคอเมดีมาอย่างมากมายในอดีต เธอก็ดูนิ่งขึ้นตามอายุของตัวละคร ดูมีเสน่ห์มากขึ้น แต่ก็ยังขัดแย้งกับบุคลิกของ Maya ที่ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นแม่แบบจริงจัง หรือเป็นคุณแม่วีนแตกกันแน่

สรุป

ถ้าเปรียบเทียบกับเวอร์ชันปี 2000 แล้วนั้น Shaft (2019) ดูจะมีดีกรีความระห่ำน้อยลง เน้นหยอดมุขตลกมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมัยนิยม แต่นั่นกลับไปลดทอนอารมณ์แอคชันแบบดั้งเดิมลงไป

หรืออาจเปรียบได้ว่า Shaft เมื่อปี 2000 เป็นเหมือนกับกาแฟดำรสเข้มที่แฟนๆ คุ้นเคยกันดี ส่วน Shaft เวอร์ชันล่าสุดนี้เป็นเหมือนคาปูชิโนที่เพิ่มนมลงไป ทำให้มีรสหวานมากขึ้น ทานง่ายขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความไม่คุ้นชิน และขาดเอกลักษณ์ดั้งเดิมไป

แต่ด้วยองค์ประกอบโดยรวม ทั้งนักแสดง ผู้กำกับ สไตล์เท่ของตัวละครหลัก และดนตรีประกอบ ยังคงทำให้ผู้ชมได้นึกถึงความเป็น Shaft ได้อยู่

ท่านสามารถรับชม Shaft (2019) ผ่านทาง Netflix ได้แล้ววันนี้