[รีวิว] Liam Gallagher: As It Was “เลียม กัลลาเกอร์ ตัวตนไม่เคยเปลี่ยน”
Our score
7.0

Liam Gallagher: As It Was "เลียม กัลลาเกอร์ ตัวตนไม่เคยเปลี่ยน"

จุดเด่น

  1. เห็นเลียมกับมุมอบอุ่นและอ่อนโยนเมื่ออยู่กับครอบครัว ซึ่งแฟนเพลงส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็น

จุดสังเกต

  1. นำเสนอเป็นเส้นตรงขาดความน่าสนใจไปนิด
  2. พาร์ทดราม่าของหนัง ยังไม่ถึงกับดำดิ่งมากอย่างที่ควรจะเป็น
  3. เซอร์วิสแฟนน้อยไปหน่อย
  4. ทำมาเพื่ออวยเลียมโดยเฉพาะ
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบทภาพยนตร์

    6.5

  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • ความสนุก

    6.5

  • คุ้มเวลาค่าตั๋ว

    7.0

  • คุณภาพงงานสร้าง งานซีจี

    8.0

 

    สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

หลังจากแฟน Oasis ต่างตราตรึงและประทับใจกับสารคดี Supersonic ไปเมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว สารคดีชุดใหม่ที่พูดถึงชีวิตฟรอนต์แมน Oasis เพียว ๆ อย่าง เลียม กัลลาเกอร์ ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวฉายเสียที ช่วงเวลาเดียวกับอัลบั้มใหม่ของเลียม Why Me? Why Not? เพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนก่อน เรียกว่าโปรโมตเพลงใหม่ไปทีเดียว โดย As It Was นั้นก็ได้ ชาร์ลี ไลเทนนิ่ง และ กาวิน ฟิตซ์เจอรัลด์  มานั่งแท่นกำกับหนังสารคดีเรื่องนี้ด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะเคยกำกับมิวสิควิดิโอให้ Beady Eye วงเก่าของเลียมมาแล้วหลายตัวนั่นเอง

ถ้า Supersonic คือการพูดถึงช่วงรุ่งโรจน์จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสูงสุดของ Oasis บรรจบที่คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth แล้ว As It Was คือหนังที่พูดถึงร็อกสตาร์คนหนึ่งที่พยายามกลับไปยืนอยู่ในจุดที่เคยยืนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คือการเป็นไอคอนของวงการดนตรีอีกครั้งเหมือนในยุค 90

As It Was เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ สองพี่น้อง เลียม และ โนล ทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตของ Oasis ที่ฝรั่งเศสเมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นค่ำคืนที่หนึ่งในวงดนตรีแห่งประวัติศาสตร์ของโลกต้องถึงคราวแยกทาง และหลังจากนั้น ชีวิตของเลียม ในฐานะหัวหอกของวงต้องพบกับบททดสอบสำคัญของชีวิต เพราะมันไม่ใช่แค่การแยกวงธรรมดา แต่มันคือการที่ต้องแยกจากพี่ชายที่ร่วมงานกันมาตลอด 20 ปี ผู้เปรียบเสมือนเป็นหัวใจสำคัญคอยขับเคลื่อน Oasis ให้มาถึงจุดสูงสุดได้ เลียม พบกับบททดสอบที่ว่าเมื่อขาดมันสมองอย่างโนลไปแล้ว เขาจะไปได้ไกลแค่ไหน ด้วยวีรกรรมสุดห่ามในช่วงยุค 90 และเพลงผลงานเพลงที่แต่งออกมาน้อยนิดในยุค Oasis ไม่มีใครเชื่อน้ำยาเลียมว่าจะกลับมามีผลงานมาสเตอร์พีชได้เหมือนสมัยหนุ่ม ๆ อีกแล้ว

เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังตัดสลับ เลียม ยุคอดีตและปัจจุบัน ฉายให้เห็นภาพวันที่เขาเคยเป็นร็อกสตาร์ผู้ไร้เทียมทานในยุค 90 กับวันที่เขาตกต่ำดำดิ่ง ไม่ว่าจะฟอร์มวง Beady Eye ออกมาก็ไปไม่รอด รวมท้ังชีวิตครอบครัวที่ถึงคราวแยกทางพร้อมกับต้องสูญเงินค่าเลี้ยงดูและทนายอีกมหาศาลจนเงินร่อยหรอ เพลงไม่มี งานไม่มี แถมพี่ชายยังคอยตามแซะตามเย้ยหยันความล้มเหลว

เลียม ที่เคยเย่อหยิ่ง ปากสุนัข ผู้ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะก้มหัวให้ใคร กำลังเผยให้เห็นด้านที่อ่อนไหว อ่อนแอ และอ่อนโยน ที่เราไม่เคยได้เห็นจากนำเสนอของสื่อตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้พาเราไปมองดูวันที่เขาหมดหนทาง ซึมเศร้า และลุกมาออกอัลบั้มเดี่ยวจนกลับมาติดชาร์ตอันดับ 1 ได้อย่างไร โอเค สำหรับปัญหาของเลียมนั้น เอาจริง ๆ มันอาจไม่ได้หนักหนาเมื่อเทียบกับคนทั่วไปเลย แต่สำหรับคนที่เคยเป็นเบอร์ 1 ของวงการ การกลับมาแล้วแป้กนั้น ความคาดหวังมันต่างกันลิบลับ การกลับมาของเขาคือ ต้องกลับมาเปรี้ยงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ As It Was สำหรับผม ยังไม่อิมแพ็กเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ Supersonic ที่มาพร้อมวิธีการนำเสนอที่มีชั้นเชิงกว่า ร้อยเรียงได้ดีน่าติดตาม มีเซอร์ไพรส์มากมายให้ตามต่อ แต่ไม่ใช่กับ As It Was ที่จะพาไปยังจุดต่ำสุด ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น แล้วในฐานะแฟน Oasis เดนตายคนหนึ่ง มันน่าเสียดายฟุตเทจมากมายในยุคที่เลียมพีค ๆ กับ Oasis ในช่วงยุคตลอดจนช่วงต้น 2000 นั้นกลับถูกพูดถึงน้อยนิด หนังไม่ได้ขยี้มากพอให้เห็นว่า เลียม วันนั้นกับวันนี้ แตกต่างกันแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อตระหนักว่า เลียม กลับมาในครั้งนี้ ไม่ต่างจากการเกิดใหม่

เพราะเขาได้ฐานแฟนเพลงรุ่นใหม่มากมายมหาศาล เด็กในยุคมิลเลนเนียม โตมาวันนี้มีหลายคนที่ตามเลียม แต่พวกเขาน่าจะได้เห็นความเจ๋ง ความคูลของร็อกสตาร์ที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในไอคอนแห่งวงการดนตรียุค 90 มากกว่านี้ ซึ่งผมสามารถสัมผัสได้จาก Supersonic แต่กลับไม่พบเจอใน As It Was ที่เลียมดูจะได้บทความเป็นพ่อบ้านที่ดูแลลูก ๆ ทั้ง 3 คนมากกว่า

แต่จุดที่ As It Was ทำได้เด่นชัด กลับเป็นเรื่องความรักจาก เดบบี้ คู่ชีวิต และจากครอบครัว คุณแม่ เพ็กกี้, ลูก ๆ ทั้ง 3 (จีน-เลนนอน-มอลลี), พี่ชาย พอล, เพื่อนเก่าอย่าง โบนเฮดส์ บวกกับแพสชันในเสียงดนตรี ที่ทำให้ เลียม กลับคืนสู่วงการได้ เร่ิมจากเวทีเล็ก ๆ ไปจนถึงระดับ Glastonbury เวทีระดับเมเจอร์ที่เขาเคยมายืนอยู่ในฐานะฟรอนต์แมนของ Oasis ไปสู่การก้าวพ้นร่มเงาของ โนล กัลลาเกอร์ ก้าวข้ามผ่าน Oasis และนับหนึ่งในฐานะศิลปินเดี่ยวได้ โดยที่ตัวเองได้สร้างทุกสิ่งอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง นี่คือ coming of age ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

จริงอยู่แม้เลียมจะถูกครหาว่า เพลงของเขาแทบไม่มีความซับซ้อน และยังคงยึดมั่นในแนวทางร็อกแอนด์โรลล์มาตลอด ผิดกับพี่ชายที่ทดลองซาวด์ใหม่ ๆ มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ในอีกมุมหนึ่ง ด้วยศรัทธาและรักมั่นในไอดอลดนตรียุค 60-70 จวบจนวันนี้ มันน่ามหัศจรรย์ที่เลียม ได้นำพาจิตวิญญาณของ The Beatles, จอห์น เลนนอน, Pink Floyd, หรือ เดวิด โบวี ผ่านเสียงดนตรีแปดเปื้อนเสียงไซคีเดลิค มาถึงเด็กรุ่นนี้ด้วย ผมต้องยอมรับว่ามันจริงที่ว่า

‘เด็กเขาโตขึ้นอยากเป็นเลียม ไม่ได้อยากเป็น โนล’

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับ เลียม กัลลาเกอร์ กับการได้ชื่อว่าเป็น ร็อกสตาร์คนสุดท้ายแห่งศตวรรษนี้

จาก cult hero ในแวดวง britpop สู่หนึ่งในตำนานวงการดนตรีโลกที่ยังมีลมหายใจ…

Play video

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส