วันนี้ Joker กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรที่สร้างผลกำไรสูงที่สุดตลอดกาล เพราะตอนนี้ Joker ทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วถึง 1,018 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 62.5 ล้านเหรียญ และยังไม่ได้ทุ่มงบโปรโมตมากมายนัก แต่เป็นเพราะเสียงร่ำลือแบบปากต่อปากจากแฟนหนังที่ได้รับชม บวกกับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างเอกฉันท์ถึงคุณภาพของหนัง และการแสดงอันยอดเยี่ยมของวาคีน ฟินิกซ์ ที่สามารถตีความของ Joker ออกมาในทิศทางที่ไม่เคยเห็นและเกินคาดคิด รวมแล้วผู้กำกับ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ และ วาคีน ฟินิกซ์ ได้ทำให้หนัง Joker ประสบความสำเร็จได้ทั้งด้านเสียงวิจารณ์และรายได้ถล่มทลาย และเมื่อเข้าฤดูประกาศรางวัลปลายปี Joker จะสามารถกวาดรางวัลให้กับค่ายวอร์นเนอร์ และดีซีคอมิกอีกมากมาย นับเป็นหนังที่ยกระดับภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสตูดิโอ ที่สามารถเดินหมากในสงครามหนังซูเปอร์ฮีโรได้อย่างฉลาด

วาคีน ฟินิกซ์ และผู้กำกับ ท็อด์ ฟิลลิปส์ 2 ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Joker

วาคีน ฟินิกซ์ และผู้กำกับ ท็อด์ ฟิลลิปส์ 2 ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Joker

เอ้า! ตัดเรื่องรางวี่รางวัลไปก่อน ปลายปีเราค่อยมาสรุปกันว่า Joker จะกวาดรางวัลกลับบ้านได้มากแค่ไหน มาพิจารณากันที่รายได้ หลังจาก Joker ทำกำไรกลับเข้าค่ายได้เกินคาดขนาดนี้ แน่นอนว่าเราต้องมองย้อนกลับมามองที่ 2 รายหลัก ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ ผู้กำกับ/เขียนบท และวาคีน ฟินิกซ์ ผู้ฝากการแสดงได้อย่างน่าทึ่ง ในฐานะผู้ชมวงนอก เราก็คาดเดาว่าในขณะที่ Joker ขายชื่อ วาคีน ในฐานะนักแสดงนำ เขาต้องได้รับส่วนแบ่งจากผลกำไรในระดับมหาศาล แต่…..ผิดคาดครับ วาคีน ไม่ได้อะไรไปมากกว่าค่าเหนื่อยที่ตกลงกันไว้แต่แรกแบบเบ็ดเสร็จจบสิ้น ไม่มีข้อตกลงในเรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์จากกำไรของหนัง

วาคีน ฟินิกซ์ ได้รับค่าเหนื่อยในการลดน้ำหนัก ตีความเข้าถึงจิตใจคนวิกลจริตครั้งนี้เพียง 4.5 ล้านเหรียญ

ซึ่งความฉลาดของทีมบริหารวอร์นเนอร์และดีซี นี่ก็รวมไปถึงการเลือก วาคีน ฟินิกซ์ มารับบท Joker ด้วยเช่นกัน ก็เพราะวาคีน เป็นนักแสดงสายขายฝีมือ ไม่ใช่สายหนังเอาใจตลาด เป็นนักแสดงทีเก่ง เป็นที่รู้จักพอสมควรและค่าตัวไม่สูง ไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ถ้าหนังทำกำไรได้ ทำให้งบประมาณหนังไม่บานปลาย แต่ถ้าไปเลือกนักแสดงระดับแม่เหล็ก ก็จะคุมงบประมาณการสร้างไม่ได้แบบนี้

ถ้ารักวาคีน ชื่นชมในความสามารถของเขา ก็ช่วยกันลุ้นว่าวอร์นเนอร์และดีซีจะใจดีไหม ที่จะแบ่งโบนัสจากผลกำไรมาให้วาคีน ฟินิกซ์ รวมไปถึงท็อดด์ ฟิลลิปส์ 2 หัวแรงหลักในความสำเร็จครั้งนี้ ต่อให้แบ่งมาอีกเท่าตัว ก็ยังห่างไกลหลายเท่า ถ้าเทียบกับตัวเลข 75 ล้านเหรียญ ที่ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้ไปจาก Avengers : End Game และจาก Avengers : Infinity War อีกราว ๆ 30 – 50 ล้านเหรียญ และโพรเจกต์ต่อไปของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ ก็คือ The Voyage of Doctor Doolittle ซึ่งเขาจะได้ค่าตอบแทนในสูตรเดิม คือจ่ายเลย 20 ล้านเหรียญ และเปอร์เซ็นต์ตามหลังต่างหากตามขั้นบันไดรายได้หนัง พอมองเปรียบเทียบกัน แล้วมันช่างเป็นค่าตอบแทนที่เหลื่อมล้ำกันมากระหว่างนักแสดงในกลุ่มขายชื่อเรียกคนดูได้ กับนักแสดงในกลุ่มขายฝีมือต่อให้มีรางวัลจากหลาย ๆ เวทีก็ไม่ได้ช่วยให้ค่าตัวมากขึ้น

เจสซิกา แชสเทน ได้ค่าเหนื่อยจาก IT Chapter Two เพียง 2.5 ล้านเหรียญ

เจสซิกา แชสเทน ได้ค่าเหนื่อยจาก IT Chapter Two เพียง 2.5 ล้านเหรียญ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เจสซิกา แชสเทน นักแสดงมากฝีมือที่เข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง ผ่านหนังโพรเจกต์ใหญ่มาแล้วมากมายทั้ง Interstellar, The Martian และ The Huntsman: Winter’s War และโพรเจต์ล่าสุด IT Chapter Two ก็ทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 466 ล้านเหรียญ แต่เจสซิกา ก็ได้ค่าเหนื่อยจากเรื่องนี้เพียง 2.5 ล้านเหรียญ แต่ทางค่ายก็ให้เหตุผลว่าหนังเรื่องนี้ ใช้นักแสดงชุดใหญ่ตัวเลขค่าตัวทุกคนก็มากโขอยู่

แถมท้ายข้อมูลให้อีกเล็กน้อย ในอดีตมีเสียงเรียกร้องสิทธิ์ความเท่าเทียมจากนักแสดงหญิง ที่มีความเหลื่อมล้ำอย่างมากในเรื่องค่าตัวเมื่อเทียบกับนักแสดงชาย ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ในโพรเจกต์ใหม่ ๆ กลุ่มนักแสดงหญิงได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นในระดับใกล้เคียงกับนักแสดงชายแล้ว กัล กาด็อต จากที่ได้ค่าตัวจุ๋มจิ๋มมากจาก Wonder Woman เธอได้ค่าตอบแทนเพียง 300,000 เหรียญ เท่านั้น แต่ในภาค 2 นี้ Wonder Woman 1984 ค่าตัวของเธอขยับขึ้นเป็น 10 ล้านเหรียญ ส่วน Birds of Prey (and the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn) หนังซูเปอร์ฮีโรหญิงในฝั่งดีซีเช่นกันจะจ่ายค่าตัวให้ มาร์ก็อต ร็อบบี้ ที่ 9 – 10 ล้านเหรียญเช่นกัน, เอมิลี่ บลันต์ จะได้ค่าตัวถึง 12 – 13 ล้านเหรียญ จากหนังภาคต่อ A Quiet Place

มองรวม ๆ แล้วค่าตัวนักแสดงหญิงข้างต้นก็ถือว่าขยับขึ้นมาใกล้เคียงกับกลุ่มนักแสดงชายแถวหน้าแล้ว ซึ่งขณะนี้ตัวท็อปก็คือ ดเวย์น จอห์นสัน ที่ได้ค่าตัว 20 ล้านเหรียญต่อเรื่อง รองลงมาก็คือ วิล สมิธ ที่ได้รับ 17 ล้านเหรียญไปจาก Bad Boys for Life ส่วน ทอม ครูซ ก็จะได้ค่าเหนื่อยไปราว ๆ 12 – 14 ล้านเหรียญจากหนัง Maverick ภาคต่อของ Top Gun เมื่อ 33 ปีก่อน ก็หวังว่าความสำเร็จของ Joker จะส่งให้วาคีน ฟินิกซ์ ได้ค่าตัวในระดับนี้จากโพรเจกต์เรื่องต่อไปของเขานะครับ

 

 

อ้างอิง