น่าจะเป็นหัวข้อที่หลาย ๆ คนคาดเดากันผิดคาด แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองก็ต้องคิดว่าผู้ที่นำโด่งในเรื่องนี้จะต้องเป็น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ อย่างแน่นอน เพราะตัวเลข 75 ล้านเหรียญ ที่เขาได้รับจาก Avengers : End Game นั้นเป็นข่าวฮือฮามาก พอ ๆ กับตอนที่ได้รับจาก Avengers : Infinity War ก็ประมาณ 75 ล้านเหรียญเช่นกัน ซึ่งถ้าในหัวข้อนักแสดงที่มีรายรับรวมสูงสุดตลอดทศวรรษที่ผ่านมาน่ะก็ใช่ ว่าต้องเป็น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในหัวข้อนี้คือ

“นักแสดงที่มีรายรับต่อหนังเรื่องเดียวสูงที่สุด” โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กลับตกไปอยู่ในอันดับที่ 2 ส่วนอันดับหนึ่งนั้นตกเป็นของ วิล สมิธ

เอ้า! งงละสิ งงละสิ มา ๆ จะอธิบายให้ฟัง

รายรับมหาศาลของ วิล สมิธ มาจากความแข็งแกร่งของแฟรนไชส์ MIB

เอเยนต์ เจ บทที่ให้สร้างรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญให้วิล สมิธ

เอเยนต์ เจ บทที่ให้สร้างรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญให้วิล สมิธ

โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ มีรายรับจากหนัง Avengers ภาคละ 75 ล้าน แต่วิล สมิธ มีรายรับจาก MIB 3 ถึงหลัก 100 ล้านเหรียญ, ตัวเลข 100 ล้านเหรียญเมื่อปี 2012 พอเอามาเทียบอัตราเงินเฟ้อในปี 2019 นี้ ก็จะเท่ากับ 112 ล้านเหรียญเลยนะ โอ้ว! อะไรจะมากมายขนาดนั้น น่าตกใจทั้งตัวเลข และน่าตกใจที่รายรับขนาดนี้แต่ทำไมไม่เป็นข่าวฮือฮาเหมือนตอนที่ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้รับจากมาร์เวลสตูดิโอเลย

อาจจะเพราะปี 2012 ที่ MIB3 ออกฉายนั้น เป็นปีเดียวกับที่ Avengers ภาคแรกออกมาเช่นกัน แล้วรายได้ของหนัง Aveners ที่ 1,518 ล้านเหรียญ ก็เป็นที่ฮือฮาเช่นกัน ก็เลยไม่ค่อยมีใครพูดถึง รายรับของ MIB 3 ที่ 624 ล้านเหรียญเท่าใดนัก แม้จะเป็นรายรับที่สูงที่สุดในไตรภาค Men In Black ก็ตาม แล้วในวันนี้พอมองย้อนกลับไปถึงหนัง MIB 3 เราก็รู้สึกว่ามันนานมาก ทั้งที่จริงแล้วก็ยังเป็นหนังที่ออกฉายในทศวรรษนี้เช่นกัน

พิจารณาจากรายรับที่หลัก 624 ล้านเหรียญ กับตัวเลขที่โซนี่จ่ายวิล สมิธ มาถึง 100 ล้านเหรียญดูเป็นสัดส่วนที่มากมายเหลือเกิน ถ้าเทียบกับ 75 ล้านเหรียญ ที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้ส่วนแบ่งจากหนัง Avengers ทั้ง 2 ภาค ที่ทำรายได้ทะลุหลัก 2,000 ล้านกันทั้งสองภาค

ทำไมโซนี่ถึงยอมจ่ายขนาดนั้น

รถเทรลเลอร์สุดหรูของ วิล สมิธ ในระหว่างถ่ายทำ MIB 3

รถเทรลเลอร์สุดหรูของ วิล สมิธ ในระหว่างถ่ายทำ MIB 3

ก็ต้องย้อนไปมองสถานะของ วิล สมิธ ในปี 2012 ช่วงนั้นเครดิตของ วิล สมิธ ยังดีมาก หนังแต่ละเรื่องของเขาทำรายได้สวยงามมาตลอด The Pursuit of Happyness, I Am Legend, Hancock แล้วทางโซนี่ก็ต้องการหนังปิดไตรภาค MIB อย่างมาก การที่ได้ชื่อของ วิล สมิธ กลับมาดึงคนดูในภาค 3 เป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการตลาด ทำให้สตูดิโอต้องยินยอมตามเงื่อนไขสุดโหดดังนี้คือ 20 ล้านเหรียญจ่ายมาก่อนเลยเป็นค่าตัวเริ่มต้น แล้วเขายังจะได้ส่วนแบ่งอีก 10% โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ซึ่งตีเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งออกมาเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็ประมาณ 80 ล้านเหรียญ บวกกับ 20 ล้านเหรียญแรกก็แตะ 100 ล้านเหรียญได้

ข้อตกลงนี้นับว่าพิเศษสุด แล้วไม่เคยมีนักแสดงคนไหนได้อภิสิทธิ์เช่นนี้ เพราะถ้าพิจารณาตามจริงแล้ว สตูดิโอจะต้องหักค่าใช้จ่ายอีกมหาศาลในการทำประชาสัมพันธ์หนัง ที่เหลือแล้วถึงจะมาแบ่งเปอร์เซ็นต์กับนักแสดง นี่เท่ากับเป็นเงื่อนไขพิเศษที่สตูดิโอยอมเพื่อง้อวิล สมิธ สุด ๆ เพราะสตูดิโอเชื่อมั่นในข้อเดียวว่า วิล สมิธ เท่านั้นคือชื่อที่จะต่ออายุให้กับ MIB แฟรนไชส์ที่มีค่าต่อสตูดิโอได้ และวิล สมิธก็ทิ้งห่างจากแฟรนไชส์นี้ไปยาวนานถึง 10 ปีแล้ว MIB2 ออกฉายเมื่อปี 2002 นี่คือการง้อวิล ให้กลับมาสวมบทบาท เอเยนต์ เจ อีกครั้งในรอบหนึ่งทศวรรษ

ข่าวแพร่งพรายออกมาอีกว่า ไม่เพียงแค่ค่าตัวและส่วนแบ่งมหาศาลที่วิล สมิธ ได้รับจาก MIB3 วิล สมิธ ยังได้รับอภิสิทธิ์เยี่ยงราชาตลอดการถ่ายทำ MIB3 เขาได้อยู่ในเทรลเลอร์สุดหรู ความยาวถึง 16 เมตร ที่มีค่าเช่าเดือนละ 9,000 เหรียญ และไม่ว่ากองถ่ายจะย้ายไปที่ไหน วิล ก็ยืนยันว่าจะต้องเอาเทรลเลอร์สุดหรูนี้ตามไปด้วย ตามมาด้วยข่าวโจมตีมากมายว่า MIB3 ปิดกล้องได้ช้ากว่ากำหนด ก็เพราะปัญหาจากการต้องเคลื่อนย้ายเทรลเลอร์สุดหรูของวิล ไปด้วยนี่ล่ะ

MIB ; International ภาคที่ล้มเหลวที่สุดในแฟรนไชส์

MIB ; International ภาคที่ล้มเหลวที่สุดในแฟรนไชส์

แต่สุดท้ายพลังความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเขาก็แสดงผลของมันอย่างชัดเจนเมื่อ MIB 3 ทำรายได้ไปที่ 624 ล้านเหรียญ เป็นภาคที่ทำรายได้สูงที่สุดในแแฟรนไชส์ เป็นไงล่ะ? ถามว่าสตูดิโอพอใจไหม ถ้าเทียบกับส่วนแบ่งที่ต้องจ่ายให้กับวิลไป ก็ต้องตอบว่าพอใจอย่างแน่นอน แล้วอีกหลักฐานยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ในชื่อ วิล สมิธ ก็คือผลลัพธ์ของ Men in Black: International โซนี่คาดหวังอย่างสูงกับพลังดาราของ คริส เฮมส์เวิร์ธ และเทสซา ธอมป์สัน ที่เพิ่งประกบคู่กันไปใน Thor : Ragnarok แล้วหนังก็ฮิตเสียด้วย แต่ผลที่ได้กับ Men in Black: International มันช่างต่างกันสุด ๆ หนังดิ่งลงเหวทั้งรายได้และเสียงจากนักวิจารณ์ หนังทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 253 ล้านเหรียญ ได้คะแนนจากนักวิจารณ์ในเว็บไซต์ Rottentomatoes ไปแค่ 23%

วิล สมิธ มองเห็นผลลัพธ์แบบนี้ก็คงจะนั่งหัวเราะหึ ๆ พร้อมมองบนให้กับพวกที่เคยเขียนโจมตีเขาในวันนั้นทั้งในเรื่องเรื่องอภิสิทธิ์ในกองถ่าย และเรื่องรายรับที่เวอร์วัง แต่ถ้าเราไปถามโซนี่ว่า ถ้าย้อนเวลาไปได้ จะยอมจ่ายวิล สมิธ อีก 100 ล้านเหรียญให้กลับมาเป็นเอเยนต์เจอีกรอบ ก็คงจะดีกว่าแสวงหาทิศทางใหม่ให้กับแฟรนไชส์แบบนี้ไหม เมื่อผลมันออกมาต่างกันชัดเจนแบบนี้ ต่อให้มากกว่า 100 ล้าน โซนี่ก็ควักกระเป๋าอย่างไม่รีรอแน่นอน ก็รอลุ้นกันครับถ้า MIB จะมีภาคต่อไป เราน่าจะได้เห็นการกลับมาของ เอเยนต์ เจ อีกครั้ง

 

อ้างอิง