“อะตอม” ชนกันต์ รัตนอุดม คือเด็กหนุ่มวัย 28 ปีที่มีผลงานอันน่าทึ่ง ทั้งฝีไม้ลายมือในการแต่งเพลงให้ศิลปินรุ่นพี่อย่าง บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ (ในฝัน ฯลฯ) , ดา เอนโดรฟิน (รักเอย) และ ป็อบ ปองกูล (ปล่อย) รวมถึงการทำเพลงให้ตัวเองในเกือบทุกกระบวนการทั้งเขียนเนื้อร้องที่คมคายและการแต่งทำนองที่กลมกล่อมลงตัวจนได้ออกมาเป็นอัลบั้มแรก “Cyantist” อัลบั้มที่ถือได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มภาคภูมิของอะตอมด้วยผลงานเพลงฮิตมากมายอาทิ Please , ทางของฝุ่น ,ช่วงนี้ , อ้าว, Good Morning Teacher และอีกมากมาย และล่าสุดกับ EP ”MOON” ที่อะตอมเล่นท่ายากด้วยการทำเอาบทเพลงเก่ารวมไปถึงบทเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ร้อยเรียงในสไตล์พอปอันผสมผสานไว้ด้วยความเป็นแจ๊สบรรเลงโดยวงบิ๊กแบนด์ รวมไปถึงการนำเพลงไทยลูกทุ่งคลาสสิกอย่าง “คิดถึงพี่ไหม” มา cover ใหม่ได้อร่อยหูและอิ่มเอมในเสียงร้องของอะตอมซึ่งต้องชื่นชมว่าเป้นคนรุ่นใหม่ที่ร้องเพลงไทยยุคเก่าได้งดงาม นุ่มนวลและไพเราะมาก

และในวันที่ 25 เมษายนนี้เขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองเป็นครั้งแรกในชื่อ Atom HOUSE of HEARTS” คอนเสิร์ตครั้งสำคัญที่อะตอมบอกว่าผู้ชมทุกคนจะได้มีโอกาสใกล้ชิดและรู้จักตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง

Play video

 

แต่ตอนนี้เรามารู้จักเขาให้มากขึ้น รู้จักกับบาดแผลและชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิด “บทเพลงเศร้าอันงดงามทั้งหลาย” ของชายที่ชื่อ “อะตอม ชนกันต์” กันครับ

[บทความนี้ถอดความจาก “ป๋าเต็ดทอล์ก SEASON 3” EP.1 ชีวิตและบาดแผลของ ‘อะตอม ชนกันต์’]

Play video

 

อะตอมผู้เปลี่ยน “ความเศร้า” มาเป็นเรื่องเล่าที่กินใจ

 

 บทเพลงส่วนใหญ่ของอะตอมหรือหากให้กล่าวจริง ๆ ก็คือบทเพลงแทบทั้งหมดของอะตอมมักจะเป็นเพลงเศร้า เป็นเพลงของคนถูกทิ้ง เพลงของคนที่ชีวิตรันทดมาก เป็นเพลงของคนที่ไม่ได้สมหวังในความรัก ไม่ว่าจะเป็นเพลง Please , ทางของฝุ่น , แผลเป็น หรือแม้แต่เพลงที่แต่งให้ศิลปินคนอื่นอย่าง “ปล่อย” ของป็อบ ปองกูล และด้วยความที่อะตอมเป็น singer-songwriter เป็นศิลปินที่แต่งเพลงเองร้องเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วงานเพลงของศิลปินประเภทนี้จะมีต้นทางมาจากประสบการณ์ในชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงมีความน่าสนใจว่าอะตอมนั้นมีประสบการณ์เช่นไรและเขาเป็น “คนเศร้า” จริงหรือไม่

 สำหรับอะตอมแล้วชีวิตของเขานั้นมีทั้ง “เรื่องเศร้า” และ “เรื่องสุข” แต่เขาเป็นคนที่เล่าเรื่องเศร้าได้ดีกว่า และ เบื้องหลังเพลงทุก ๆ เพลงที่เป็นเพลงเศร้านั้นมันได้สะท้อนให้เห็นว่ายิ่งมันเศร้ามากเท่าไหร่ก็แสดงว่าตอนมันดี มันดีมากเท่านั้น

 

“เวลาคุณเสียอะไรไป เวลาเสียสิ่งที่มันดีมาก ๆ ในชีวิตไป เวลามันหายไปแล้วไอ้ขาลง มันก็ลงตามไปด้วย แต่ว่าช่วงดี ๆ ที่มันอยู่ในใจเรา อยู่ในความทรงจำของเรา มันก็เยอะมากมันก็ยังคงอยู่และมันจะเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้เราได้นึกถึงเสมอ”

 

อะตอมนั้นเขียนเพลงแฮปปี้มีความสุขไว้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ในเวลาที่ต้องเลือกว่าจะให้คนฟัง ฟังอะไรก่อน มันก็จะเป็นเพลงเศร้าที่แซงหน้าขึ้นมาเสมอ พอถึงจุดหนึ่งพอมันถูกปล่อยออกมาหลายเพลงติดกัน มันก็เริ่มกลายเป็นเอกลักษณ์ของอะตอมในฐานะ “คนเล่าเรื่องเศร้า” นั่นเอง

 ซึ่งการ “นำเอาเรื่องเศร้าออกมาเล่าเป็นเพลง” นี้มีส่วนในการช่วยเยียวยาตัวเองของอะตอมด้วยเหมือนกัน เพราะคนเราแต่ละคนนั้นจะมีวิธีการระบายความทุกข์หรือความอึดอัดในใจแตกต่างกันไป บางคนก็เล่นกีฬา วาดรูป ทำกิจกรรมต่างๆ แต่สำหรับอะตอมแล้ว มันคือการใส่ลงไปในเพลง

 

“มันเป็นที่ระบายอารมณ์ของผม เป็นพื้นที่ของผม ที่ไม่มีใครมาห้ามผมได้ เราอยากระบายอะไรลงไปในสมุดก็ไม่มีใครมาจำกัดเรา มันเป็นพื้นที่ที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ”

 

ซึ่งในเวลาที่อะตอมเขียนเพลงเศร้านั้น เขาก็รู้สึกเศร้าไปกับมันด้วยจริง ๆ เพราะเรื่องราวในบทเพลงส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ก่อนนี้อะตอมจะไม่กล้าบอกเพราะกลัวคนมาถามว่าเรื่องมันเป็นยังไงทำไมชีวิตมันรันทดขนาดนี้ แต่ด้วยความที่รู้สึกว่าไม่รู้จะปิดไปทำไมเพราะมันก็เป็นเรื่องจริง เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มันผ่านเวลามาแล้ว และปล่อยไปให้คนฟังมาหลายต่อหลายเพลงแล้ว ทำให้เห็นว่ามีคนที่เจอแบบอะตอมเยอะ พอถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็กลายเป็นว่าแฟนเพลงเหล่านั้นก็อินกับเพลงของอะตอมและกลายเป็นจุดเชื่อมโยงอะตอมกับแฟนเพลงเข้าด้วยกันในที่สุด

ในการเขียนเพลงของอะตอมนั้นมีทั้งนึกย้อนกลับไปและเขียนในขณะที่กำลังรู้สึกอยู่จริง ๆ ซึ่งเพลงที่รู้สึกแล้วก็เขียนเลยในตอนที่รู้สึกมาก ๆ คือเพลง “Please” ซึ่งอะตอมเขียนขึ้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งและได้เข้าไปอยู่ในค่ายสนามหลวง เพลงนี้เขียนภายในเวลา 2-3 ชั่วโมงแล้วก็ไม่แก้อีกเลยจนถึงที่ทุกคนได้ฟังกันในทุกวันนี้

 

Play video

 

DREAM ความฝันของอะตอม “Singer – Songwriter” 

 

ในช่วงเวลาที่อะตอมอยู่ที่ค่ายสนามหลวงนั้นมีการนัดประชุมทุกสัปดาห์ ประชุมเพื่อหาตัวตน หาคาแรกเตอร์ ปรับสไตล์ และส่งอะตอมไปทำเพลงกับศิลปินหลายคน อะตอมอยู่ในฐานะศิลปินฝึกหัด และทำเพลงของตัวเอง แต่ก็ยักไม่ผ่านไม่ได้ออกเสียทีจนเวลาล่วงเลยไป 2-3 ปี อะตอมในวัย 19 ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองก็พร้อมแล้ว เพลงก็มีแล้ว พร้อมที่จะออกแล้ว ลองให้ใครฟังเค้าก็รู้สึกว่าเพราะแล้ว ปล่อยออกไปได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ออกเสียที สุดท้ายอะตอมก็ตอบตัวเองได้ว่ามันเป็นด้วยความพร้อมตอนนั้น ระดับวุฒิภาวะของตัวเองด้วย รวมไปถึงเรื่องสไตล์ที่มันยังไม่ชัดเจน ส่วนตัวเพลงก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นยังไงชอบอะไรกันแน่ พอมองกลับไปอะตอมรู้สึกว่ามันคือโชคดีที่ต่อให้เจออะไรหนักขนาดไหน อะตอมก็รู้สึกขอบคุณช่วงเวลาเหล่านั้นเสมอไม่เคยลืม ซึ่งในความอึดอัดนี้ก็ยังมีเรื่องดีนั่นคือการได้ไปฝึกวิชาในด้านการทำเพลง  เริ่มเข้าไปในสตูดิโอ ได้ทำงานเบื้องหลัง ได้เข้าไปทำเพลงให้พี่บุรินทร์ (บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์) และได้เจอพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของอะตอม เหมือนได้เจอคนที่มีเคมีตรงกัน เหมือนฟ้าส่งมาให้ได้เจอกัน ราวกับว่าช่วงเวลาก่อนนี้คือช่วงเวลาที่ฟ้าให้รอเพื่อให้วันนี้อะตอมได้เจอคนที่เหมาะสมที่นำพาเขาไปในจุดที่ได้ฝันไว้ในแบบที่ตัวเองอยากเป็นจริง ๆ พออะตอมได้เจอพี่บอลก็ได้เริ่มทำเพลงตัวเอง เริ่มมีคนที่ให้ทั้งเวลาให้พลังและเห็นบางอย่างในตัวอะตอม และพร้อมที่จะพัฒนาอะตอมจริง ๆ จนกลายเป็นครอบครัว กลายเป็นคนที่อะตอมรักมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของอะตอม

อะตอมและพี่บุรินทร์

 

กันต์ รุจิณรงค์ หรือ พี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า

 

ชีวิตสองด้านที่ต้องเลือก “ทนาย-นักดนตรี”

 

อะตอมตัดสินใจเลือกเรียนนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ เพราะทุกคนในครอบครัวคุณพ่อคุณแม่นั้นเป็นทนาย ส่วนพี่สาวก็เดินรอยตามคุณพ่อคุณแม่ และเป็นคนที่พาอะตอมไปเรียนพิเศษเป็นเพื่อนจนอะตอมรู้สึกว่าตนเองชอบ ทำได้ดี สุดท้ายก็ตามรอยกันไปหมด สอบเข้านิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ซึ่งอะตอมก็รู้สึกว่ามันก็เป็นตัวตนของเขาเช่นกัน เพราะอะตอมชอบการให้เหตุผลในการตอบคำถามของวิชาสายนี้นั่นเอง

อะตอมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่เรียนสายนี้ เพราะอย่างแรกคือได้ฝึกกระบวนการความคิดอย่างที่ตัวเองสนใจ ได้ฝึกวิธีให้เหตุผลแบบนักกฎหมาย ซึ่งผลต่อการเขียนเพลงของอะตอมพอสมควร ในแง่ของหลักตรรกะ การให้เหตุและผล และการเรียงเหตุผลในแบบ A ไป B , B ไป C และ Cไป D เพราะอะไรทำไมจึงเกิด เกิดแล้วเป็นยังไงและบทสรุปคืออะไร ซึ่งมันค่อนข้างเห็นได้ชัดจากเพลงของอะตอม เพราะเพลงของอะตอมเป็นอะไรที่จะค่อนข้างสรุปประเด็นสำคัญ ไม่หลุดประเด็นหลัก แล้วก็มีการปูพื้นและไล่สเต็ปไปเรื่อย ๆ จนขมวดจบในท้ายที่สุด ซึ่งพอกลับมาอ่านเพลงตัวเอง อะตอมพบว่ามันคล้ายกับการตอบข้อสอบ ในวิชาที่เรียนมา พบว่ามันช่วยทำให้ใส่ใจกับความหมายของคำแต่ละคำ รวมไปถึงการจัดวางคำลงไปในเพลง วางตรงนี้ความหมายหนึ่ง วางอีกจุดความหมายอาจเปลี่ยนไป ทำให้มีความละเอียด ใส่ใจ และเข้าใจในความหมายและบริบทของแต่ละคำในบทเพลงนั่นเอง

ในตอนที่อะไรยังไม่แน่นอน ตอนที่อยู่บนทางเลือกของชีวิตนั้นอะตอมก็เคยคิดภาพตัวเองตอนเป็นทนายอยู่เหมือนกัน ในตอนนั้นมันมีภาพของทั้งสองทางให้เห็น

 

“ถ้าเพลงไปไม่รอดก็ไปเป็นทนายแต่ถ้าเพลงรอดแล้วเราก็ได้ไปในทางที่เราชอบจริงๆ”

 

ถึงแม้หากให้เทียบทางระหว่างการเป็นทนายกับการเป็นนักดนตรีนั้น อะตอมคงตอบได้ไม่ยากว่าชอบทางใดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นอะตอมก็ไม่เคยทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านการเรียนเพื่อไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังและต้องทำมันจนสำเร็จให้ได้

ส่วนความฝันด้านการเป็นนักดนตรีนั้น อะตอมก็ไม่เคยคิดล้มเลิกเช่นกัน แต่จะยอมเพียงเหตุผลเดียวคือ หากปล่อยเพลงไปแล้วคนฟังบอกว่ามันไม่เพราะ ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง เมื่อนั้นเขาถึงจะยอมหยุด

 

“คือไอ้ที่คิดว่าเลิกแล้ว ไม่ทำแล้วไม่เอาแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งเดียว เราจะไม่ยอมจนกว่าเราจะรู้เรื่อง การที่เราพร้อมที่จะปล่อยและไปตามทางที่เราเรียนมานั้นมันมีอยู่แค่จุดเดียว คือ ได้ปล่อยเพลงแล้ว และเพลงได้กระจายไปถึงคนทั่วประเทศแล้ว และคนทั่วประเทศบอกแล้วว่า “เพลงมึงไม่ได้ เพลงมึงมันไม่เพราะ ไม่อยากฟัง”

 

 

ในตอนที่อะตอมอายุ 21 หลังจากได้เจอพี่บอลและได้เริ่มทำงานกับพี่บุรินทร์แล้ว อะตอมได้เริ่มสัมผัสประสบการณ์ทัวร์คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ ได้นั่งรถตู้ไปต่างจังหวัด ไปเป็นคอรัสใช้ชีวิตกับวงแบคอัป “The Old School All Stars” ที่รวมนักดนตรีรุ่นเก๋าฝีไม้ลายมือดีเอาไว้ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมายและได้ทำเพลง “Please” เสร็จ วางแผนไว้ว่าจะออกเร็ว ๆ นี้ แต่สุดท้ายทางค่ายสนามหลวงก็ขอเลื่อนวันออกไป โดยให้เหตุผลว่าทางค่ายกำลังปรับโครงสร้างใหม่ เรื่องการปล่อยเพลงอาจต้องรอไปก่อน เหมือนน้ำตาตกในอะตอมรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์นี้มาก สุดท้ายจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ค่าย “White Music” ซึ่งเป็นค่ายที่อะตอมได้ปล่อยซิงเกิลแรกคือเพลง “Please” ออกมาในเดือนมกราคมปี 2558 และได้ออกผลงานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

ในช่วงเวลาของการรอคอยสามปี อะตอมได้บ่มเพาะประสบการณ์ ได้ปรับปรุงผลงานจนมันดีที่สุด ได้พบพี่บอล และได้ย้ายมาอยู่ค่าย White Music ซึ่งถือว่าเหมาะกับอะตอมแล้ว มองในแง่นี้เหมือนมีใครลิขิตหรืออกแบบไว้ อะตอมมองว่าเรื่องบางเรื่องในชีวิตมันต้องรอ จังหวะที่เหมาะสมมันมีอยู่จริง

และสิ่งที่ทำให้อะตอมยังยืนหยัดไม่ล้มเลิกความฝันง่าย ๆ นั่นก็เพราะว่า “การเป็นนักดนตรี” นั้นคือความฝันของอะตอม

 

“ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังไม่เป็นรูปธรรมในขณะนั้น แต่มันอยู่ในใจเรา มันคืออะไรที่เราต้องไปให้ถึงให้ได้ โดยที่ไม่ต้องมาแก้ตัวกับตัวเองทีหลังว่า เฮ้ยจังหวะมันไม่ดีเองตอนนั้น มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทำให้ไปไม่ถึง ซึ่งที่จริงแล้วคุณแค่ไม่สู้ให้มันสุด เรายอมไม่ได้ที่จะเป็นคนคนนั้นที่มานั่งเสียใจกับตัวเองทีหลัง”

 

อะตอมจึงดื้นจนถึงที่สุด จนวันที่รอคอยได้มาถึงแต่ในวันนั้นจากสิ่งที่มันควรจะเป็น “ความตื่นเต้น” มันกลับเป็น “ความโล่งใจ” แทน เหมือนคนที่อยากเข้าห้องน้ำแบบสุด ๆ แล้วมันได้เข้าไปปลดปล่อยสักที ตอนนั้นอะตอมรู้สึกว่ามันโล่งไปเยอะเลย พอได้ปล่อยเพลงไปแล้วที่เหลือก็สุดแท้แต่คนฟัง ในตอนนั้นอะตอมอยู่ในช่วงสุดท้ายของความพยายามแล้วและบอกกับทางบ้านว่าขอเวลาอีกเพียงปีเดียว หากทำไม่สำเร็จก็จะหันมาทางทนายแล้ว สุดท้ายแล้วถือเป็นความโชคดีหรือแท้ที่จริงคือดอกผลของความรัก เชื่อมั่น ศรัทธาและพยายามอย่างแท้จริงในที่สุดเพลง “Please” ที่ปล่อยออกมาก็เป็นเครื่องการันตีว่าอะตอมสามารถเดินต่อไปบนเส้นทางที่เขาได้ใฝ่ฝันเอาไว้

 

วัยเด็กของอะตอม จากเด็กน้อยสู่การเป็น “Singer-Songwriter”

 

อะตอมเป็นเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่มีความรักของพ่อแม่ที่บอกให้รู้ตลอดตั้งแต่เด็กว่า “พ่อแม่รักเรานะเราเกิดมาด้วยความตั้งใจ” มันเป็นอะไรที่ดีที่ได้รู้แต่เด็ก ได้เติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ชอบที่จะร้องเพลงชอบที่จะเล่นดนตรีต่อให้ตัวเค้าเองจะเป็นนักกฏหมายก็ตาม แต่ว่ากิจกรรมยามว่างที่อะตอมได้เห็นได้สัมผัสมาตลอดเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด งานอดิเรกของคุณพ่อคุณแม่ก็คือการเล่นดนตรีร้องเพลงกันสองคน ทำให้เขาได้ซึมซับมาตั้งแต่เด็กมาก ๆ ราว ๆ อนุบาลก็เริ่มที่จะร้องเพลง เรียกครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนอนุบาลมานั่งฟังตัวเองเปิดคอนเสิร์ต เพลงแรกที่อะตอมร้องได้คือเพลง “สั่งนาง” ของ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย  (สามารถฟังลูกคอของอะตอมได้ในคลิปป๋าเต็ดทอล์ก ในนาที่ที่ 21.26)

 ความฝันที่จะเป็นนักร้องของอะตอมค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวมาจากความสุขในวัยเด็กจากการได้ชมรายการฟรีคอนเสิร์ตอยู่หน้าจอโทรทัศน์ที่บ้าน ได้เห็นเหล่าพี่ ๆศิลปินออกมาร้องเพลงเล่นดนตรี ในตอนแรกอะตอมจำได้ว่าตัวเองอยากเป็นแดนเซอร์ เลยไปบอกพ่อแม่ว่าอยากเป็นแดนเซอร์ ท่านเลยถามกลับมาว่า “ทำไมไม่อยากเป็นคนตรงกลางล่ะ” พอโตขึ้นมาอะตอมจึงเริ่มเห็นภาพของการเป็นวงดนตรีและเริ่มอยากร้องเพลง แนวดนตรีที่อะตอนร้องในช่วงแรก ๆ นั่นคือแนว “ลูกทุ่ง” เพราะคุณแม่เป็นคนชอบฟังเพลงลูกทุ่งอย่างเช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ หรือเพลงลูกทุ่งเก่า ๆ และสามารถร้องเพลงลูกทุ่งได้เป็นอย่างดีจนเพื่อน ๆที่ธรรมศาสตร์ให้ฉายาคุณแม่ว่า “พุ่มจันทร์ ดันพวง” สิ่งนี้ได้ถ่ายทอดมาสู่อะตอมโดยไม่รู้ตัว ภาพที่อะตอมจำได้ดีก็คือการนั่งรถไปโรงเรียนกับพ่อแม่ ด้วยความที่โรงเรียนอยู่ไกลบ้านจึงทำให้ได้ใช้เวลาในรถฟังเพลงและพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่

จนมาถึงช่วงป. 5-6 อะตอมเริ่มแต่งเพลงเพลงแรก เป็นเพลงที่แต่งเพื่อส่งการบ้านวิชาวิทยาศาสตร์เป็นเพลงที่เกี่ยวกับสาร CFC ที่อยู่ในกระป๋องสเปรย์และก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก อะตอมก็ไปเอาเพลง “ที่หนึ่งไม่ไหว” ของวง “ไอน้ำ” มาแปลงใส่เนื้อเพลงใหม่ให้เกี่ยวกับเรื่องที่ครูสั่ง

เหตุผลที่อะตอมชอบแต่งเพลงนั่นก็เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้อะตอมรู้สึกสนุก ได้ท้าทายตัวเอง ซึ่งก่อนหน้าที่จะเริ่มเอาเพลงคนอื่นมาแปลงเนื้อ อะตอมชอบที่จะแต่งกลอนมาก่อนแล้ว เวลาครูสั่งให้ทำก็รู้สึกสนุก สนุกจนถึงครูจะไม่สั่งก็นั่งแต่งด้วยตัวเองแล้วแบ่งให้เพื่อนอ่านให้ครูอ่าน จนมันกลายมาเป็นพื้นฐานที่ต่อยอดมาเป็นการเขียนเพลงในที่สุด

อะตอมไม่เคยเขียนแต่งเพลงเป็นเรื่องเป็นราวเลย เกิดจากการ “ครูพักลักจำ” มากว่า ที่สำคัญเลยคือเพลงที่ชอบฟังมาตั้งแต่เด็ก อะตอมจะเลือกฟังเพลงที่มีภาษาสวย เมโลดี้ไพเราะ ชอบฟังชอบร้องซ้ำ ๆ ชอบเอาไปเล่น จนมันกลายมาเป็นเซ็ตคำและแนวทำนองที่อยู่ในตัวของอะตอมและมันได้พัฒนามาจนเป็นแนวทางของอะตอมในที่สุด

ในช่วงที่เรียนมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน อะตอมได้เริ่มทำวงกับเพื่อน ๆ เล่นในตำแหน่งกีตาร์ และได้แต่งเพลงประจำวงขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าแตกต่างจากวงเด็กทั่วไปที่มักเอาเพลงศิลปินดังมาแกะเล่นเสียมากกว่า ซึ่งเพลงวงที่อะตอมแต่งนั้นเหมือนเป็นเพลง “ธีม” ประจำวงที่บอกเล่าเรื่องราวของวง “หลังคาแดง” ของอะตอมและเพื่อน ๆ พูดถึงความฝัน ความมุ่งมั่นและมิตรภาพ และใช้ในการเล่นเปิดทุกโชว์ของวง นอกจากเพลงประจำวงแล้ว “หลังคาแดง” ยังมีโลโก้ที่ทำกันเอง ตัดเป็นสติ๊กเกอร์และแปะมันบนกระเป๋านักเรียนอีกด้วย เป็นจุดเริ่มต้นของความใฝ่ฝันในวัยเด็ก

 

ในวันที่ความฝันยังไม่สำเร็จ คำพูดแบบไหนที่ “ทำร้ายใจ” มากที่สุด

 

“มึงแม่ง wanna be ว่ะ”

 

คนเรานั้นไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด มันต้องใช้เวลาใน “การประกอบร่างสร้างตัวตน” ขึ้นมา ในช่วงเวลาวัยรุ่นที่มันเปราะบางนั้นการเจอคำคำนี้เข้าไป ก็ทำให้เป๋ได้เหมือนกัน และถือว่ามันเป็นถ้อยคำที่รุนแรงเสมือนหนึ่งคำดูถูกที่บอกว่า

 

“ไอ้คนนี้ไม่ใช่ตัวจริงว่ะ มันถึงต้อง wanna be”

 

ซึ่งอะตอมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มั่นใจตัวเองถึงขนาดที่ว่า คพพูดใดก็ไม่อาจสั่นคลอนใจได้ เขาเองก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาที่ไชว่คว้าหาทางที่จะทำฝันให้เป็นจริงเหมือนกับทุก ๆ คน ไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง ไม่ได้รู้ไปทุกอย่าง แต่สุดท้ายอะตอมก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า

 

“ถ้ามึงไม่ wanna be มึงก็ไม่ได้ be ดิ”

 

มันต้องเริ่มจากความโหยกระหายในตัวคนคนนั้น ที่ฝันอยากจะเป็น อยากจะทำอะไรซักอย่างให้มันสำเร็จ เพราฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่อะตอมอยากบอกกับคนที่มีฝันว่าอย่าไปฟังถ้อยคำบั่นทอนอะไรพวกนั้นมากนัก เรามีอะไรที่ชอยเราก็หาทางไปของเราเอง ถึงแม้คำสบประมาทแบบนี้มันจะมีมาเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น แต่หากเรารู้ว่าเราเป็นอะไร เราต้องการอะไร เราก็มุ่งไปของเรา ในแง่หนึ่งการที่เราถูกด่าว่า “wanna be” นั่นก็แสดงว่าสิ่งที่เราทำมันปรากฏออกมาให้คนเขาได้เห็น แสดงว่าเรามันคือคนที่ชอบอะไรสักอย่างแล้วทำมันอย่างจริงจังจนมันออกมาเป็นภาพให้คนอื่นมาด่าได้ ทั้ง ๆ ที่ไอ้คนพูดมันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร

 

LOVE ความรักของอะตอม

ด้วยความที่อะตอมเรียนโรงเรียนชายล้วนทำให้ได้เจอผู้หญิงช้ากว่าโรงเรียนสห นิยามความรักในตอนเด็กของอะตอมจึงเป็นอะไรที่สดใสสวยงามตามประสาของคนที่ไม่ได้เดียงสาต่อโลกสักเท่าไหร่ มองเห็นแต่ด้านที่สวยงามอ่อนหวานของมัน แล้วมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามเวลาซึ่งที่บ้านของอะตอมได้สอนว่าความรักนั้นมันควรจะเป็นยังไง ความรักที่มันถูกต้องการมีความสัมพันธ์กับใครสักคนนั้นเป็นยังงัย เราควรจะดูกันไปทีละคนถ้าไม่รอดก็ไปหาใหม่ได้แต่ต้องจบให้ขาดก่อน เป็นต้น ซึ่งต่อมาอะตอมได้พบว่ากับความรักวัยรุ่นด้วยตนเองว่า ความรักในช่วงเวลาที่ฮอร์โมนส์พลุ่งพล่านนั้นมันรักง่ายหน่ายเร็ว ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่อะตอมเป็นและถูกสอนมาที่เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด เริ่มด้วย 100 ก็ไปต่อด้วย 100 จนกลายเป็นคนที่น่าเบื่อจนสุดท้ายก็ได้เรียนรู้จักความเจ็บปวดกับรักที่วูบวาบของวัยรุ่น

อะตอมได้รู้จักกับรักแบบหนุ่มสาวและมีแฟนคนแรกในตอนอายุ 15-16 ปี ซึ่งในช่วงเวลานั้นที่โรงเรียนของอะตอมจะมีงานครบรอบวันเกิดโรงเรียนซึ่งจะอนุญาตให้นักเรียนหญิงจากโรงเรียนอื่นเข้ามาร่วมงานได้ (ส่วนนักเรียนชายเข้าไม่ได้เพราะกลัวเกิดเหตุทะเลาะวิวาท) จนได้ทำความรู้จักกับสาวต่างโรงเรียน (สตรีวิทยา) และพัฒนาจนกลายมาเป็นความสัมพันธ์แบบแฟนกันในที่สุด อะตอมถือว่าช่วงเวลานั้นเป็นประสบการณ์ที่ดี การที่ได้มีแฟน ได้ไปรอที่หน้าโรงเรียนของแฟน (จนเด็ก ๆ แถวนั้นเขม่น) มันเป็นครั้งแรกสำหรับทุกสิ่ง ทุกอย่างมันใหม่ไปหมด เหมือนเป็นการเปิดโลกใบหใม่ให้กับเด็กน้อยอะตอมจากโรงเรียนชายล้วน ซึ่งเรื่องราวและความรู้สึกทั้งหมดนี้ได้กระทบกับใจของอะตอมโดยตรง

Play video

“ขนม” คือหนึ่งบทเพลงที่แต่งโดย “น้องอะตอม” และถูกรวมไว้ในอัลบั้ม School Gangs 3” เป็นบทเพลงที่มาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับแฟนคนแรก ที่รักมากและเฮิร์ทมาก เป็นความเจ็บช้ำและผิดหวังครั้งแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการ “เปลี่ยนเรื่องเศร้ามาเป็นเรื่องเล่าในบทเพลง” ของอะตอม แต่ถึงแม้ความรักในวันนั้นจะทำร้ายแต่สุดท้ายอะตอมกับอดีตแฟนคนนั้นก็เป็นเพื่อนกันอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

 

 

PAIN บาดแผลของอะตอม

 

 

ด้วยความที่ยังเด็ก ภูมิคุ้มกันน้อย มันอ่อนไหวพอเจออะไรมันก็จะกระทบใจโดยตรงรู้สึกกับมันเยอะ สำหรับอะตอมแล้วการแต่งเพลงจาก ”ประสบการณ์ตรง” ของตนเองนั้นดีที่สุด ได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาจนมันตกผลึกและสามารถเล่ามันได้ด้วยการเขียนเพลง ซึ่งนักเขยีนเพลงหลายคนมันจะบอกว่า

 

“เพลงที่มันดี เพลงที่มันสะกดคนได้ ส่วนใหญ่มันเกิดขึ้นตอนชีวิตเราลำบากทั้งนั้น ผ่านเรื่องราวเจ็บปวด อึดอัด โดนทำร้าย โดนหลอกหลวง พอถึงจุดหนึ่งมันจะชัดเจนมากและคมมาก ๆ”

 

ซึ่งอะตอมว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

 

เรื่องที่เปราะบางที่สุดของอะตอม

 

สำหรับเรื่องที่อะตอมเปราะบางกับมันมากที่สุด นั้นคือ ”การนอกใจ” ซึ่งอะตอมมองว่ามันเป็นการหักหลังกันที่ร้ายแรงที่สุด หากเป็นเรื่องอื่นมันยังพอเข้าใจกันได้แต่เรื่องนี้ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็ตาม

 

เพลงที่มาจากเหตุการณ์ที่เศร้าที่สุด

 

ส่วนเพลงที่มาจากเหตุการณ์ที่เศร้าที่สุด อะตอมยกให้เป็นเพลง “ปล่อย” เพราะมันเป็นเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อบอกตัวเองว่า “เดี๋ยวมันจะดีขึ้น” เหมือนในเนื้อร้องที่ว่า“แล้วมันจะผ่านไปด้วยดีแล้วใจของเธอจะเปลี่ยนไป” ซึ่งตอนนั้นอะตอมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ไม่มีใครมาบอกเลยว่า เฮ้ยเดี๋ยวมันโอเคขึ้นนะ” ไม่มีใครมาปลอบหรือต่อให้มีก็ไม่รู้สึกดีขึ้นหรอก ถึงพ่อแม่หรือเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิดจะบอกว่า “โอเคไม่เป็นไรนะ” แต่มันไม่เหมือนกับบอกตัวเองได้ว่า “เดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี” สุดท้ายเพลงนี้มันกลายเป็นเพลงที่ส่งข้อความออกไปหาคนฟังในทางที่ดีในทางที่บอกให้เค้ารู้ว่าเค้าไม่ได้อยู่ลำพังนะแล้วก็อะไรที่เค้าเจอที่มันหนักอยู่ในใจซักวันมันจะค่อย ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี

 

Play video

 

บาดเจ็บในความรัก…แล้วยังเชื่อในรักแท้อยู่รึเปล่า

 

ในความเชื่อเรื่องรักแท้ เรื่องโชคชะตาอะตอมมองว่าบางทีมันเป็นไปได้ว่ามันเป็นเรื่องสมมติทั้งหมด

 

“ทั้งหมดในชีวิตเรามันอาจจะเป็นความบังเอิญจริง ๆ ก็ได้เราไม่ได้มีโชคชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้มี destiny ไม่ได้เกิดมาคู่กันเพียงแต่ว่าเวลาคนมองในแง่นั้นมันสวยงามดีมันไม่ได้ทำลายชีวิตคน มันมีอะไรให้คนยึดเหนี่ยว ซึ่งถ้าคนจะเชื่ออย่างนั้นแล้วมันเติมเต็มอะไรในชีวิตคน ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”

 

ถึงตอนนี้เองอะตอมก็ยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ เชื่อว่ามันก็คงมีอะไรบางอย่างกำหนดเอาไว้ คนเรามาเจอกันได้ต้องมีอะไรเกี่ยวกันมาก่อนอาจจะโยงไปถึงเรื่องทำเวรทำกรรมร่วมกันมาอะไรอย่าง ซึ่งบางครั้งมันก็น่าเชื่อบางครั้งมันก็มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เกิดขึ้น สำหรับอะตอมเองถ้าถามว่ายังเชื่อใน “ความรักแท้อยู่มั้ย” อะตอมตอบว่าเชื่อถึงแม้มันอาจจะเกิดขึ้นช้าในชีวิตของใครบางคนแต่ว่ามันมีอยู่

 

LIFE ชีวิตของอะตอม

 

 

“อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของอะตอม ?”

 

ตอนนี้ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตอะตอม ก่อนหน้านี้ตอนเด็กกว่านี้มองไม่เห็นครอบครัว และครอบครัวมักจะถูกกันออกไปอยู่ภาพรอบนอก ส่วนภาพที่โฟกัสเห็นตรงหน้าก็จะเป็นเรื่องต่าง ๆ มากมายในช่วงชีวิตอย่างเรื่องความรักบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เรื่องสอบบ้าง สุดท้ายแล้วพอมาถึงวันนี้ที่อายุจะ 30 จึงเริ่มเห็นว่าคนที่รักเราและคนที่เรารักนั้นสำคัญมากขนาดไหน คนเราจะเริ่มเห็นคุณค่าของครอบครัวจริง ๆก็เป็นช่วงอายุประมาณนี้ที่เรารู้สึกว่า

 

“เฮ้ยคนเรามันมีแต่แก่ลงทุกวันนะพ่อแม่ปู่ย่าตายายทุกคนที่เราคิดมาเสมอว่าเดี๋ยวผ่านไปเมื่อไหร่ก็เจอ กลับไปเมื่อไหร่ก็ได้เดี๋ยวก็เจอ จริงๆมันไม่จริงเลยนะ มันแป๊บเดียวจริงๆมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ที่คุณจะกลับไปใช้เวลากับเขาเพราะฉะนั้นก็ตอนนี้ครอบครัวสำคัญที่สุดครับ”

 

“เวลาพูดอะไรอย่างนี้มันอาจจะฟังดูสวยงามนะ ทำซะก่อนที่มันจะสายเกินไปแต่มันโคตรจริงเลยนี่ผมเห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์”

 

ช่วงที่อะตอมใช้ชีวิตกับการทัวร์คอนเสิร์ตมาก ๆ จนไม่ค่อยได้กลับบ้าน อะตอมพบว่าหลายสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก ทุกอย่างในบ้านดูเก่าไปหมด หมาที่เลี้ยงไว้ที่เคยร่าเริงสดชื่นก็กลับเดินช้าลง เซ็ง ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากออกจากกรง พ่อแม่ก็แก่ตัวขึ้นเยอะ อะตอมจึงเริ่มรู้สึกว่าต้องหาเวลาให้กับครอบครัวแล้ว

 

“ไม่ว่าคุณจะทำอะไร หากยังมีชีวิตอยู่คุณหาเวลาได้เสมอ ถ้าคุณจะเลือกคุณต้องยอมปล่อยอะไรในสิ่งที่คุณทำบ้าง เพื่อหันมาให้เวลากับคนที่คุณรักบ้าง เพราะว่าพอถึงเวลาแล้วมันไม่ทันจริง ๆ นะ แล้วมันจะกลายเป็นความเสียใจในชีวิตคุณที่คุณกลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว”

 

แล้วกลัวอะไรที่สุด

 

ความกลัวแรกของอะตอมคือ “การไม่ลองทำในสิ่งที่ตัวเองชอบจนสุดทาง” มันได้ผ่านไปแล้ว ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกติดขัดอีก ส่วนความกลัวที่สุดอย่างที่สองของอะตอมคือ การที่เวลาคนที่เรารักเค้าต้องการความช่วยเหลือจกาเราและเราไม่สามารถไปอยู่ตรงนั้น ไม่ช่วยเหลือเค้าได้ นั่นคือ “ฝันร้าย” สัหรับอะตอมเลย เพราะเวลาที่อะตอมต้องการความช่วยเหลือครอบครัวหรือคนที่รักจะพร้อมตลอด พร้อมที่จะมาช่วยเหลือเสมอ อะตอมจึงกลัวมากหากเวลาที่ทุกคนต้องการเค้าแล้วเค้าไม่วามารถไม่อยู่ตรงนั้น เดี๋ยวนั้นได้

 

สิ่งที่ชอบที่สุดในตัวเอง

 

สิ่งที่อะตอมชอบที่สุดในตัวเองคือ “อารมณ์ขัน” ซึ่งในความหมายของอะตอมมันคือการที่สามารถมองเห็นเรื่องตลกได้ในเรื่องร้าย ต่อให้เจอช่วงเวลาที่แย่ที่สุดก็ยังหามุมตลดของมันได้ นอกจากนี้อารมณ์ขันยังช่วยให้อะตอมเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้นจากการที่เป็นคนเข้ากับคนยากในช่วงที่ผ่านมา จากความเจ็บปวดทั้งหลายที่ได้เจอทำให้อะตอมต้องรักษาระยะระดับหนึ่งกับคนที่จะเข้ามาในชีวิต

มีเรื่องไหนที่คิดว่าไม่มีไม่มีใครมีทางเข้าใจเราได้เลยแต่เราอยากให้เขาเข้าใจ

 

“เรื่องที่คนไม่เข้าใจ” นั้นอะตอมมองว่าตนเองมีอยู่แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือขยายความก็ได้

 

“ผมเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องมันไม่จำเป็นต้องถูกอธิบายหรือขยายความก็ได้ ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นของมันไป เราไม่จำเป็นต้องให้นิยามกับทุกอย่างที่มันอยู่ในชีวิตเราหรือความรู้สึกเรา แม้แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองดีเลย”

 

บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเก่า ๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน เก็บไว้ในโซนต้องห้ามที่ไม่อยากกลับเข้าไปเจอมันอีกหรือบางส่วนที่มันดีมากแล้วก็ไม่อยากให้ใครจะต้องรับรู้

 

WISH ความปรารถนาของอะตอม

 

เมื่อผ่านวันและเวลากับประสบการณ์ต่าง ๆ นานาในวันนี้อะตอมได้เติบโตขึ้นพร้อมภูมิคุ้มกันที่มีมากขึ้น เพราะฉะนั้นเพลงที่เกิดขึ้นมันก็จะเติบโตตามไปด้วย ในวันนั้นที่เขียนเพลงอย่าง “ขนม” หรือ “ Please” มันก็เป็นความรู้สึก “จริง” ณ ช่วงเวลานั้น อะตอมไม่เคยรู้สึกว่ามันเด็กไป เพราะเด็กในวันนั้นก็เติบโตมาเป็นอะตอมในวันนี้ สำหรับอะตอมแล้วการที่เขาได้ถ่ายทอดเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วคนฟังได้ฟัง แล้วมันไปสะท้อนเรื่องในชีวิตของเขา และมันได้ช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ ช่วยบรรเทาความรู้สึกเศร้าให้จากลงไป ให้บทเพลงคอยเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันตรงนั้นนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว

 

การมีคอนเสิร์ตของตัวเองนั้นสำคัญแค่ไหน

 

อะตอมถือได้ว่าเป็นศิลปินเนื้อหอมคนหนึ่งที่มีงานจ้างเกือบตลอดทุกวัน จนดูเหมือนว่าการมีคอนเสิร์ตนั้นอาจไม่ได้สำคัญนัก แต่แท้ที่จริงแล้วสำหรับอะตอมการได้มีคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันคือหลักกิโลอันหนึ่งที่อะตอมคิดว่าอยากเก็บมันไว้

 

“อย่างน้อยสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น มันคืออะไรที่อยู่ในความทรงจำเรา มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ทั้งแสง สี เสียงบรรยากาศ และผู้คนที่มาอยู่ในวันนั้น และเรื่องที่เราจะเล่าในคอนเสิร์ต เพลงที่เราจะเล่นในคอนเสิร์ตวิธีการ arrange วิธีการจากไฟ จัดฉาก ทุกอย่างมันทำมาเพื่อเป็นของขวัญให้กับคนฟัง ในจุด ๆ นี้ของชีวิตเรา เราก็อยากจะเก็บมันไว้ มันสำคัญกับเรา”

 

คอนเสิร์ตในครั้งนี้มีชื่อว่า “Atom House of Hearts” แปลตรง ๆ ก็คือบ้านของหัวใจสำหรับอะตอมนั่นเอง ซึ่งในความหมายของชื่อนี้คือความตั้งใจที่อะตอมอยากจะให้คอนเสิร์ตในครั้งนี้เป็นเสมือนการเปิดส่วนที่ “ลึก” ที่สุด ส่วนที่ “ต้องห้าม” อาจเป็นประตูห้องหนึ่งของบ้านหลังนี้ที่ไม่เคยปลดล็อคให้ใครเข้ามาเลย ก็คงเป็นครั้งนี้ล่ะที่ทุกคนจะได้เข้าไปหรือได้พูดคุยกันถึงสิ่งที่มันลึกลงไป แล้วอะไรที่หลายคนอยากจะรู้จักกันมากขึ้น อยากจะรู้ว่าเบื้องหลังมันมีอะไร ก็จะได้รู้ได้สัมผัสกัน

สำหรับคนฟังเองวันนั้นมันก็จะเป็นบ้านหลังใหญ่ ที่กลุ่มคนที่คิดแบบเดียวกัน รู้สึกแบบเดียวกันได้มารวมตัวกัน ได้มาอยู่ด้วยกัน และอะตอมเชื่อว่าคนที่ชอบเพลงอะตอม ชอบเรื่องที่อะตอมเล่า นั่นเป็นเพราะเรื่องเหล่านั้นมันเกิดกับเขาแล้ว ก็เลยอยากจะรวมทุกคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน ให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวและเราทุกคนจะผ่านมันไปได้

 

คอนเสิร์ตที่เปรียบเสมือนบทสรุปทุกเรื่องราวในชีวิตของ “อะตอม ชนกันต์”

 

“น้อยแต่มาก” คือโจทย์ยากสำหรับอะตอมที่อะตอมอยากทำมันให้สำเร็จให้ได้ หากทำได้เขาเชื่อว่ามันจะอยู่ในใจของผู้ชมทุกคนไปอีกนาน เพราะฉะนั้นอะตอมจึงพิถีพิถันในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เหมือนการร้อยเรียงกันเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เมื่อคนเปิดอ่านแล้วมันมีความสมบูรณ์ ตั้งแต่ chapter 1 ไปจนถึง chapter สุดท้าย ซึ่งมันจะยืนพื้นอยู่บนเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงของอะตอมเองโดยบอกเล่ามันในชีวิตที่เป็นร่างแรกจนถึงร่างปัจจุบันว่าได้ผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งตัวของอะตอมและตัวของแฟน ๆ ที่เดินทางมาพร้อมกับทุกบทเพลงของอะตอม เพราะฉะนั้นคอนเสิร์ตในครั้งนี้มันจึงมีความเป็นส่วนตัวมาก ๆ  และอะตอมจะทำมันให้เป็นวันที่ดีสำหรับทุกคน

 

“ผมสัญญาได้ว่ามันจะเป็นวันที่ดีของเราทุก ๆ คนที่อยู่ตรงนั้นด้วยกัน และจะเป็นวันที่เราจะเต็มที่กับมันมาก ๆ ทุกคนจะได้เห็นอะตอมในแบบที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

 

ฝันต่อไปของอะตอม

อะตอมได้ค้นพบว่าฝันใกล้หลาย ๆ เรื่องก่อนที่จะฝันไกล มันเป็นจริงเร็วกว่า และมันเติมพลังเวลาทำสำเร็จในเป้าหมายใกล้ มันเติมพลังให้กับเราทุกวัน ทำให้เรามีแรงพลังในการทำฝันไกลให้สำเร็จ แต่ก่อนอะตอมก็เคยได้ยินที่ใครบอกไว้ว่าให้ทำเป้าหมายเล็ก ๆ ให้เสร็จในแต่ละวัน แล้วสิ่งเล็ก ๆ มันจะรวมเป็นภาพใหญ่เอง ในตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กก็ไม่เข้าใจ คิดต่อต้านว่ามันจะเป็นได้ยังไง ให้ซักผ้าให้เสร็จแล้วบอกว่าสำเร็จแบบนี้หรอ แต่พอโตมาอายุเท่านี้อะตอมพบว่ามันเป็นความจริงกับการแบ่งเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ เป้าหมายใกล้ ๆ แล้วทำมันให้สำเร็จเสียก่อน แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นพลังสะสมไปจนทำให้ฝันใหญ่ ฝันไกลสำเร็จในที่สุด สำหรับอะตอมแล้วความฝันในตอนนี้ยังสุดที่คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้อยู่ อยากทำมันให้ดีที่สุดก่อนแล้วผลลัพธ์จากฝันใกล้อันนี้จะส่งผลดีในวันข้างหน้ากับเป้าหมายที่ไกลกว่านี้เอง แล้วพอถึงวันนั้นอะตอมก็คงจะเห็นภาพเป้าหมายในอนาคตได้ชัดเจนขึ้นเอง

 

ครอบครัว การงาน การเงิน ความรัก เรื่องไหนสำคัญที่สุด

 

สำหรับอะตอมตอนนี้ “ครอบครัว” สำคัญที่สุด แต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาก ๆ ในตอนนี้ก็คือเรื่องของ “สุขภาพ” อะตอมมองว่าก่อนที่เราจะดูแลคนอื่น เราต้องดูแลตัวเองให้ดีเสียก่อน ในช่วงที่อะตอมทำงานหนักทำให้เขาเป็นโรคมากมายทั้งกรดไหลย้อนภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่ แถมด้วยปาร์ตี้ยันเช้าจนร่างกายมันไม่ไหว เริ่มรู้ตัวเองว่ามันปล่อยให้ชีวิตเป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้ เลยหันมาดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพกายสุขภาพจิต แล้วจึงไปดูแลคนที่รักกับครอบครัว [จริง ๆ คนรักก็รวมอยู่ในคำว่าครอบครัวด้วยเหมือนกัน (อะตอมบอกว่าจะได้ไม่มีคนน้อยใจ) ] แล้วจากนั้นเรื่องการงาน การเงิน ก็จะตามาเอง แต่สำหรับสองสิ่งนี้ อะตอมก็ให้ “งาน” สำคัญกว่า “เงิน” เพราะว่า

 

“การได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักนั้นมันคืออะไรที่ดีที่สุดแล้ว ก่อนที่เราจะมองว่าอะไรทำเงิน เราควรบอกว่าเราชอบอะไรก่อนดีกว่า ทำมันให้เต็มที่แล้วหาทางทำเงินจากมันให้ได้ดีกว่า”

 

คำแนะนำและข้อควรระวังจากอะตอม

 

อะตอมมองว่าเด็กยุคนี้เก่งและน่าอิจฉาตรงที่ว่าอยากเรียนรู้เรื่องอะไรเปิดอินเทอร์เน็ตไปก็เจอ อย่างอยากเล่นกีตาร์ อยากเล่นเปียโนก็มีคนสอน อยากทำเพลงก็มีคนเปิดแอปสอนทีละสเต็ป เลยไม่รู้จะแนะนำอะไรเพราะเด็กรุ่นใหม่นี้เจ๋งกันมาก ส่วนข้อควรระวังนั้นอะตอมบอกว่าตัวเองก็ยังเอาตัวไม่ค่อยรอด (ฮา) เลยอยากให้กำลังใจมากกว่าว่า “อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ“ อย่างอะตอมเองที่มาถึงวันนี้ได้ก็เพราะไม่เคยยอมแพ้ มีหมดแรงบ้าง ท้อบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่สุดท้ายเมื่อเป้าหมายในใจมันชัดเจน เราก็ต้องทำมันอย่างจริงจัง

 

ถ้ารักอะไร ชอบอะไร ก็ทำมันจริง ๆ อย่าพูดอย่างเดียว ให้เวลากับตัวเองในการที่จะพัฒนาด้วย”

 

คำว่าพรสวรรค์นั้นหากเรามีมันก็มีความหมายแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้มันอยู่ที่การฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ และการขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเอง เรื่องโอกาสมันอาจจะมีเข้ามา แต่แทนที่เราจะรอมันอย่างเดียว เราเดินหน้าไปไชว่คว้าหาโอกาสเองมันอาจจะดีกว่า เปอร์เซ็นต์ที่จะพบความสำเร็จมันก็จะมีมากขึ้น

หลายคนอาจจะบอกว่ายอมแพ้แล้ว ยอมแพ้ต่อโชคชะตา อะตอมเลยขอเล่าเรื่องที่เคยประสบมาในตอนเด็กที่คุณแม่พาไปดูหมอแล้วหมอทักมาว่า อยากเป็นนักร้องนักดนตรีหรอเป็นไม่ได้หรอก ไม่ดัง ถ้าอยากดังต้องเป็นข้าราชการ พอออกมาอะตอมก็คิดในใจว่า​”พ่องงงงเถอะ” คอยดูเดี๋ยวจะทำให้ดู จนวันนี้สิ่งที่อะตอมเป็นก็เป็นคำตอบแล้วว่าไม่มีใครรู้จักโชคชะตาของเราดีเท่ากับตัวเราหรอก

 

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส