“นายเสียดายอะไรมากที่สุดหลังฉันตายไปเหรอ?”

“ไม่ได้แก่ไปด้วยกันกับเธอมั้ง”

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

จะมีอะไรเศร้าไปกว่าการที่ใครสักคนที่เรารักมากจากเราไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะจบไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังฝากความประทับใจที่อบอวลไปด้วยความสุข ความเศร้า รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตาให้คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเข้าไปดูได้อยู่เสมอ ‘Hi bye mama’ ซีรีส์แนวดราม่าแฟนตาซีที่เล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินใจเรื่องนี้ จะทำให้เราหวนนึกถึงความพิเศษของช่วงเวลาปัจจุบัน ที่ใครหลายคนอาจหลงลืมมันไป และอยากจะใช้มันอย่างรู้คุณค่าที่สุดอย่างไม่จำเป็นที่จะต้องเสียดายอะไรอีก…


เรื่องย่อ ‘Hi Bye Mama! บ๊ายบายแม่จ๋า’

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

เรื่องราวของ ‘ชายูริ’ (รับบทโดย คิมแทฮี) หญิงสาวท้องแก่ที่เสียชีวิตไปแล้วกลายเป็นวิญญาณ แต่ทว่าความรักและความคิดถึงลูก ทำให้เธอไม่สามารถจากโลกไปและคอยวนเวียนอยู่เคียงข้างลูกสาว ‘โจซออู’ (รับบทโดย ซออูจิน) มาตลอด 5 ปี แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าการวนเวียนอยู่ข้าง ๆ จะทำให้ลูกของเธอจิตอ่อน และเริ่มที่จะมองเห็นวิญญาณ จนกระทั่งเธอได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเป็นเวลา 49 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า หากเธอสามารถกลับไปอยู่จุดเดิม ก่อนที่เธอจะตายจากมาได้ เธอจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง และมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจสุด ๆ ถ้านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเข้าไปแทรกกลางระหว่าง ‘โจคังฮวา’ (รับบทโดย อีคยูฮยอง) สามีเก่าของเธอที่กำลังพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ ‘โอมินจอง’ (รับบทโดย โกโบกยอล) หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาเป็นแสงสว่างในชีวิตให้กับเขาอีกครั้งในฐานะภรรยาและออมม่าของลูกสาวที่เธอรักที่สุด 

ผู้กำกับ : ยูแจวอน (ผลงานก่อนหน้า “Abyss”)

เขียนบท : ควอนฮเยจู (ผลงานก่อนหน้า “Go Back Couple”)

ช่องทางการรับชม : Netflix

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด


ความรู้สึกหลังดู

ขอยอมรับแต่โดยดีว่าไม่ได้ใส่ใจจะดูซีรีส์เรื่องนี้สักเท่าไหร่ในตอนแรก อาจเป็นเพราะหน้าหนังที่มันดูเป็นหนังครอบครัวอบอุ่น(?) แบบที่ทางเราเองก็ไม่ค่อยจะสันทัดเท่าไหร่นัก แต่พอได้ตั้งใจทำความรู้จักซีรีส์เรื่องนี้แบบจริงจัง ก็เริ่มค้นพบว่า “สนุกว่ะ!” คือมันสนุกตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้ดูไปลุ้นไปว่า “ถ้าได้เจอคนที่ตายไปแล้วอีกครั้ง แต่ละคนจะมีรีแอ็กชันกันยังไงกันนะ?” สามีที่แต่งงานใหม่และกำลังจะมูฟออน เพื่อนสนิทที่อาจไม่สนิทกับเราอีกแล้ว ลูกที่ไม่รู้จักเราแถมยังรักแม่เลี้ยงมากกว่าสิ่งใดในโลก การกลับมาที่ดูจะผิดที่ผิดทางเหมือนจะเป็นบทลงโทษมากกว่าของขวัญเสียด้วยซ้ำ เราจึงจะได้เห็นมุมมองต่อการกลับมาของชายูริที่หลากหลายผ่านสายตาของแต่ละตัวละคร แม้จะเคยดูซีรีส์ที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายมาแล้วหลายเรื่อง แต่การให้ตัวละครที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตแบบปกติธรรมดานี่แหละที่ทำให้เรามองเห็นแง่มุมการใช้ชีวิตได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงเรื่องราวของตัวละครได้อย่างง่ายดาย แค่ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเรามีเวลาเหลืออีกแค่เพียง 49 วัน เราจะใช้มันยังไงให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนจะจากไปตลอดกาล…

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

โลกหลังความตายที่เราสามารถเลือกได้ว่า จะไปเกิดใหม่ หรือเป็นวิญญาณอยู่ข้าง ๆ คนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง ที่ผ่านมาเรามักจะได้เห็นบาดแผลและการเยียวยาของคนเป็นที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างท่วมท้น แต่คราวนี้เราจะได้เห็นอีกมุมมองของคนตายไปแล้วที่ยังมีห่วง และสิ่งที่ทำให้พวกเขาไปสู่สุคติไม่ได้ ซึ่งเรื่องราวของของชายูริก็ได้สื่อสารออกมาถึงสัจธรรมของการจากลา ที่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ คนเราวันหนึ่งก็ต้องจากไป และเมื่อเวลานั้นมาถึง การยอมรับและเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนี่แหละที่จะทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ แม้ว่าการจากลาจะทำให้รู้สึกราวกับว่าโลกถล่มทลาย แต่เมื่อคนที่เรารักจากไปย่อมทิ้งตัวตนไว้ในเศษเสี้ยวความทรงจำและชีวิตเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ และเมื่อเราได้ระลึกถึงสิ่งเหล่านั้น เราก็จะมองเห็นความงดงามของการจากลาได้ในที่สุด เหมือนประโยคหนึ่งในเรื่องที่กล่าวว่า “กลีบดอกร่วงหล่น แต่ดอกไม้ยืนยง ส่วนกลิ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ ฝังลึกลงไปในความทรงจำของเรา…”

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

เพราะตีมหลักของซีรีส์เรื่องนี้ให้เน้นความสำคัญไปที่ความรักของแม่และลูก แน่นอนว่าเราจะได้เห็นถึงความรักของชายูรีที่มีต่อลูกน้อยของเธอ แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังได้เห็นความรักที่แม่ของชายูรีมีต่อเธอในฐานะลูกสาวเช่นเดียวกัน 

แม่ที่ต้องสูญเสียลูกไปก่อนเวลาอันควร โดยที่ไม่มีโอกาสได้บอกลา เธอต้องใช้พลังใจแค่ไหนในการก้าวผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปได้? และการที่ชายูริกลับมามีชีวิตอีกครั้งก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจว่า แท้จริงแล้วความรักของคนเป็นแม่นั้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่าการอยากเห็นลูกมีความสุขเพียงเท่านั้น นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นความรัก ความสัมพันธ์ และมิตรภาพในอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน คนรัก คนรู้จัก รวมไปถึงความสัมพันธ์ของเหล่าผี ๆ ที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกอบอุ่น อิ่มเอมไปทั้งหัวใจ จนต้องดูไปยิ้มไป แต่ละตัวละครก็จะมีเรื่องราวของตัวเอง ที่ดูแล้วอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

ประเด็นที่เราชอบมากเป็นพิเศษอีกอย่างคือ บทใส่ความแข็งแกร่งลงไปในตัวละครผู้หญิงเรื่องนี้ค่อนข้างมาก อย่างตัวชายูริเองนั้น ก็ไม่ได้ต้องการจะกลับมาในฐานะภรรยา หรือจะมาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของโจคังฮวาเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่อยากกลับมาอยู่ข้าง ๆ ลูกน้อยเท่านั้น รวมถึงความสัมพันธ์ของชายูริกับโอมินจองในฐานะแม่แท้ ๆ กับแม่เลี้ยง (ที่ไม่ได้ใจร้ายเหมือนในนิทาน)  ก็มักจะแสดงออกมาให้เราเห็นว่าพวกเธอทั้งคู่ต่างชื่นชมและหวังดีต่อกันและกันมากกว่าจะคิดร้ายต่อกันเสียอีก รวมถึงอีกหนึ่งสมาชิกในแก๊งค์อย่างรุ่นพี่ ‘โกฮยอนจอง’ ที่เป็นการรวมตัวกันสามคนแบบงง ๆ แต่ทำให้เราซาบซึ้งใจในมิตรภาพของคำว่าเพื่อนได้อย่างแท้จริงเลยล่ะ

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

แม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างดราม่าหนักหน่วง แต่คนเขียนบทก็เลือกที่จะใส่ความโรแมนติกและคอมเมดี้ ผ่านความเป็นธรรมชาติของแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างจริงใจ ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างฟีลกู๊ด ดูแล้วไม่เครียดมากจนเกินไป (แต่ก็เสียน้ำตาหนักอยู่เด้อออ) นอกจากนี้ยังมีบทสรุปของแต่ละตอนที่ให้แง่คิดและทำให้เราตกตะกอนความรู้สึกบางอย่างออกมาได้อย่างเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของพวกเขาได้ดีทีเดียว รวมถึงการเล่าเรื่องแบบ Flashback กลับไปเป็นระยะในช่วงเวลาของโจคังฮวากับชายูริเมื่อ 5 ปีก่อน ก็ดึงดราม่าสะเทือนอารมณ์ให้เราน้ำตาแตกได้ทุกอีพี นับเป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เปรียบเหมือนอาหารจานพิเศษที่ปรุงรสมาได้อย่างกลมกล่อม ดูแล้วสุข ซึ้ง เศร้า กินใจตั้งแต่ต้นเรื่องลากยาวไปจนกระทั่งตอนจบเลยทีเดียว

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด

นอกจากบทจะละเมียดละไมเก็บทุกดีเทลได้อย่างน่าประทับใจแล้ว อีกหนึ่งจุดที่เด่นมาก ๆ ไม่แพ้กันคือ ‘การแสดง’ ของนักแสดงทุกคนที่เข้าถึงบทบาท สามารถถ่ายทอดอารมณ์และข้อความที่ผู้กำกับต้องการสื่อออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ในซีนปะทะอารมณ์กันก็ส่งต่อความรวดร้าวมาถึงคนดูและทำให้เราหลอมรวมความรู้สึกไปกับตัวละครได้เป็นอย่างดี นับเป็นการคัมแบ็คในรอบ 5 ปีของ ‘คิมแทฮี’ ที่คุ้มค่าสมการรอคอยจริง ๆ ทำได้ดีมาก ๆ ทั้งในบทบาทของแม่และลูก ส่วนพระเอกของเราอย่าง ‘อีคยูฮยอง’ ก็รักษามาตรฐานการแสดงของตัวเองได้ดี๊ดีไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย สีหน้าและแววตาที่สิ้นหวังของเค้ามันกัดกร่อนไปถึงหัวใจเราจริง ๆ แต่เวลาถึงซีนต๊อง ๆ ก็แสดงออกมาได้น่ารักสุด ๆ ‘โกโบบยอล’ ตัวละครที่เราไม่ได้คาดหวัง แต่ดูแล้วหลงรักสุดหัวใจ เป็นนักแสดงที่เก็บรายละเอียดอารมณ์ของตัวละครได้ดีมาก ยังไม่รวมถึงนักแสดงระดับฝีมืออย่าง ‘คิมมีคยอง’ ที่เรามักจะเห็นเธอในบทบาทคุณแม่ที่แสดงออกมาได้อย่างน่าประทับใจอยู่เสมอ และหนุ่มน้อย ‘ซออูจิน’ ในบทบาทลูกสาวตัวน้อยของแม่ ๆ ก็แสดงบทบาทใสซื่อออกมาได้อย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติสุด ๆ (แค่นั่งทำตาแป๋ว ๆ ป้าคนนี้ก็ใจละลายแล้วจ้า) นอกจากนักแสดงหลักแล้วนักแสดงคนอื่น ๆ ในเรื่องก็รับผิดชอบบทบาทของตัวเองได้ดีและแสดงออกมาได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้กันเลยล่ะ

[รีวิว] ‘Hi Bye Mama บ๊ายบายแม่จ๋า’ ซีรีส์ที่ทำให้อยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างคุ้มค่าที่สุด


ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พูดได้เลยว่า ถ้าไม่ได้กดเข้าไปดูเราคงพลาดซีรีส์ที่ดีที่สุดในชีวิตไปเรื่องหนึ่งเลยล่ะ สุดท้ายนี้เราขอทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคหนึ่งจากซีรีส์ Hi bye mama ที่ทำให้เราได้ฉุกคิดทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอยากจะใช้วันเวลาที่มีอยู่ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด “เมื่อขึ้นสวรรค์ไปพระเจ้าจะถามคำถามสองข้อ ถ้าตอบใช่ทั้งสองคำถาม ชาติหน้าก็จะได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ คำถามหนึ่งก็คือ มีความสุขกับชีวิตที่ผ่านมาไหม? และอีกคำถามก็คือ คนอื่นมีความสุขเพราะเราด้วยหรือเปล่า?” 

แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ… อยากตอบสองคำถามนี้ว่ายังไง?

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส