[รีวิวสารคดี] Beastie Boys Story : เกรียนให้สุด-แล้วหยุดที่ “โคตรเกรียน”
Our score
7.8

Beastie boys Story

เรื่องย่อ

เรื่องราวของเพื่อน 3 คน กับวงดนตรีฮิปฮอป Beastie boys ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับโลก Mike Diamond (Mike D) และ Adam Horovitz (Ad rock) จะมาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่ยาวนานกว่า 40 ปีถึงเรื่องราวของความสำเร็จ ความล้มเหลว การทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนผู้ล่วงลับ Adam Yauch และมิตรภาพที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสารคดีแสดงสดโดยการกำกับของ Spike Jonze เพื่อนและผู้กำกับ Music Video ให้กับวงมาอย่างยาวนาน

จุดเด่น

  1. แฟนเพลงฮิปฮอป และแฟนวงนี้ ไม่ควรพลาด
  2. แฟนหนัง Spike Jones ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

จุดสังเกต

  1. มีแก๊กฝรั่ง มุกแบบฮิปฮอปบางมุกที่คนไทยอาจไม่เก็ต
  2. แอบมีบางมุกตกท้องช้าง น่าเบื่อนิด ๆ ในบางจุด

Play video

“Now here’s a little story I’ve got to tell
About three bad brothers you know so well
It started way back in history
With Ad rock, MCA, and me Mike D.”

“…มีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมต้องเล่า
เรื่องของสุดแสบสามใบเถาที่คุณก็รู้จักดี
จุดเริ่มต้นแบบว่าต้องย้อนไปนานหลายปี
มี “แอด ร็อก” “เอ็ม.ซี.เอ.” และก็ผม “ไมค์.ดี. …”

ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง Paul Revere โดย Beastie boys
อัลบั้ม Licensed to Ill (1986)

ความน่าสนใจที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกแรงกล้าที่จะรีวิวภาพยนตร์สารคดีเรื่องเล็ก ๆ เรื่องนี้ที่ฉายใน Apple TV+ เรื่องนี้ก็คือเหตุผลง่าย ๆ สองประการครับ ประการแรกคือ ในฐานะที่ผมเป็นแฟนวงฮิปฮอปอเมริกันชื่อดังอย่าง Beastie boys มาแต่ดั้งเดิม นี่คงเป็นเหตุผลเดียวที่ผมบอกกับตัวเองว่าห้ามพลาดโดยเด็ดขาด เพราะมันคงไม่ง่ายที่อดีตวงฮิปฮอปสุดเกรียนที่เคยเป็นที่ลือลั่น (ในด้านความเกรียน) ในวงการฮิปฮอปจะมาเล่าเรื่องของตัวเองอย่างหมดเปลือกผ่านสารคดีเรื่องนี้

ส่วนเหตุผลที่สองคือ Spike Jonze ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Being John Malkovich (1999) ไปจนถึง Her (2013) ครับ

จริง ๆ วง Beastie boys กับ Spike Jonze ไม่ใช่ความแปลกประหลาดหรือเพิ่งจะมาเจอกันนะครับ สมาชิกวง Beastie boys ทั้งสามอย่าง Michael Diamond “Mike D” (ร้องนำ-กลอง) Adam Yauch “MCA” (ร้องนำ-เบส) และ Adam Horovitz “Ad-Rock” (ร้องนำ-กีตาร์) นั้นเขาเป็นเพื่อนกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้จักมักจี่กันมาโดยตลอด และเคยทำงานร่วมกันมาแล้วในการกำกับ MV ของวงหลายต่อหลายเพลง

(จากซ้ายไปขวา) Adam Yauch “MCA”, Michael Diamond “Mike D” และ Adam Horovitz “Ad-Rock”

รวมถึงเพลงที่ดังที่สุด เปรี้ยงที่สุด และสดจัดที่สุดของวงอย่าง “Sabotage” จากอัลบั้ม Ill Communication (1994) ซึ่งเขาก็ทำออกมาในสไตล์ล้อเลียนไตเติลซีรีส์ตำรวจของฝรั่ง (แต่กวนเบื้องล่าง) ซึ่งมันก็เจ๋งในระดับที่ทำให้ MV นี้ได้เข้าชิง MTV Music Video Awards ในปี 1994 ด้วย ก่อนที่ MV “Everybody Hurts” ของวง R.E.M. จะปาดหน้าชิงรางวัลไปครอง

Play video

MV “Sabotage” (อัลบั้ม Ill Communication (1994) ที่ Spike Jones กำกับ)

มาว่ากันที่สารคดีเรื่องนี้บ้างครับ แน่นอนว่า Beastie boys ณ ปัจจุบันนี้อยู่ในฐานะ “ยุติบทบาท” ยุบวงไปแล้วตั้งแต่ปี 2012 ที่ “MCA” หรือ Adam Yauch เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งที่เขาต่อสู้มาเนิ่นนาน ส่วนสมาชิกอีกสองคนที่เหลืออย่าง “Mike D” และ “Ad-Rock” ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำวงกันต่อ Beastie boys เลยกลายเป็นวงค้างฟ้า ปิดตำนานวงฮิปฮอปสไตล์ Old school สุดเกรียนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งในวงการเพลงฮิปฮอป

Beastie boys บนเวที MTV Music Video Awards ปี 1994

ก็เลยประจวบเหมาะในปีที่แล้ว ที่ Spike Jonze คิดจะทำสารคดีของวงนี้ขึ้นมา แต่ว่าถ้าเป็นสารคดีเพียว ๆ ไปนั่งสัมภาษณ์แล้วก็เอาฟุตเตจเก่า ๆ มารวมกัน ก็คงไม่มีอะไรใหม่ ความพิเศษของสารคดีเรื่องนี้คือ มันเป็นสารคดีกึ่ง ๆ บันทึกการแสดงสด Live Stage ที่ชื่อว่า “Beastie Boys Story: As Told By Mike D & Ad-Rock” ณ โรงละคร Kings Theatre บรูคลิน นิวยอร์ค

ซึ่งมันเป็นโชว์ที่ให้ Spike Jonze นำเอาสองอดีตสมาชิกที่ยังอยู่อย่าง “Mike D” และ “Ad-Rock” มาเล่าเรื่องของวง Beastie Boys ตั้งแต่วัยรุ่น ก่อตั้งวง เรื่องราวต่าง ๆ ไปจนถึงช่วงสุดท้ายของวง ด้วยการมายืนเล่าให้ฟัง ประกอบกับฟุตเตจ มัลติมีเดีย พร็อพ และ Performance เล็ก ๆ น้อย ๆ บนเวทีแบบสด ๆ เมื่อปีที่แล้ว และหลังจากนั้น  Jonze ก็นำเอา “บันทึกการแสดงสด” นั้นมายำใหม่ในรูปของ “สารคดี” ที่เล่าเรื่องแบบสด ๆ แทนการสัมภาษณ์เหมือนสารคดีทั่ว ๆ ไป กลายเป็นสารคดีมัน ๆ เกรียน ๆ ที่มีความเป็น “เดี่ยวไมโครโฟน” (Stand Up Comedy) ไปด้วยในเวลาเดียวกันนั่นเอง!

โดยเนื้อเรื่องก็เริ่มเล่าตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่กำลังซึมซับวัฒนธรรมพังก์แบบเต็มสูบ จนไปถึงการพบกับเพื่อนหลาย ๆ คนและนำไปสู่การตั้งวงดนตรีพังก์ร็อก (ใช่ครับ ก่อนจะมาเป็นวงฮิปฮอป พวกเขาเคยเป็นวงพังก์มาก่อน!) แล้วก็เริ่มเล่นดนตรีกันแบบเด็ก ๆ จนโชคชะตาได้มาพบกับทีมงานระดับเทพ จนถึงจุดหักเหที่ดันไปเจอกับวงฮิปฮอประดับเทพเจ้าอย่าง RUN-DMC ผลก็คือ จากวงแนวพังก์แหกปาก กลายเป็นวงแร็ปเฉยเลย!

หลังจากนั้นวงก็เดินทางมาจนกลายเป็นศิลปินในค่ายเพลงฮิปฮอป Def Jam และได้ออกอัลบัม Debut ในตำนานอย่าง Licensed to Ill (1986) จนนำไปสู่การทัวร์แบบไม่มีพัก และการถูกแทรกแซงจากต้นสังกัด ทำให้พวกเขารู้สึกอิ่มตัวจากการออกทัวร์และการแสดงโชว์แบบบ้า ๆ ห่าม ๆ แบบไม่มีเว้นว่าง และถูกต้นสังกัดแทรกแซงให้เน้นขายภาพลักษณ์ความฮามากกว่าตัวเพลง ผลก็คือ พวกเขาวงแตกหลังจากออกอัลบั้มได้เพียงอัลบั้มเดียว

“Mike D” และ “Ad-Rock” และภาพปกอัลบั้ม Licensed to Ill (1986)

จนกระทั่งกลับมารวมตัวทำอัลบั้มใหม่ Paul’s Boutique(1989) อีกครั้งกับสังกัดใหม่อย่าง Capital Records แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า พวกเขาจึงต้องตะเกียกตะกายเพื่อที่จะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง จนในที่สุดพวกเขาก็เลือกที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ด้วยการนำเอาแนวเพลงหลากหลายรูปแบบ ทั้งร็อก โซล ฟังกี้ แจ๊ส เข้าไว้ด้วยกัน จนมาประสบความสำเร็จกับแนวทางการทำเพลงฮิปฮอปที่ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้ Sampling เหมือนวงอื่น แต่พวกเขาเลือกที่จะเล่นดนตรีสดผสมผสานกับจังหวะการแร็ปแบบ Old School จนในที่สุดก็มาประสบความสำเร็จกับซิงเกิล “Sabotage” และวงก็เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของวง เมื่อมันสมองหลักและมือเบสอย่าง “MCA” เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง

จริงๆ แล้วถ้าว่ากันตามเนื้อหา มันก็คงไม่ได้ต่างจากสารคดีวงดนตรีทั่วไปนักหรอกครับ (มองอีกมุมหนึ่ง มันก็คงเป็นวงจรชีวิตปกติของวงดนตรีทั่ว ๆ ไปด้วยแหละ) ที่มักจะมีจุดเริ่มต้นจากความรักในดนตรี ก่อตั้งวงเพื่ออยากทำในสิ่งที่รัก ผ่านจุดประสบความสำเร็จแบบท่วมท้นก่อนจะ Burn Out แล้วก็ต้องตะเกียกตะกายเพื่อกลายเป็นตำนานต่อไป แต่ความพิเศษที่ผมรู้สึกว่ามันพิเศษกว่าสารคดีดนตรีทั่ว ๆ ไปก็คือ การที่มันออกมาจากปากของสมาชิกวงเองนี่แหละครับ หลายคนอาจจะคิดว่า อ้าว สารคดีปกติก็บันทึกการสัมภาษณ์มาประกอบฟุตเตจอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ แต่อย่าลืมนะครับว่า นี่คือ Live Show ที่พวกเขาได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ออกมาตรง ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องถามคาดคั้นหรือขยี้เพื่อให้ได้เนื้อหาตามประเด็นที่ผู้สัมภาษณ์กำหนดมาแล้ว ซึ่งนั่นกลายเป็นว่ามันทำให้ความรู้สึกของผมเมื่อได้ดูครั้งแรกนั้น มันมีความรู้สึกที่ต่างออกไปจากการดูสารคดีวงดนตรีอื่น ๆ ที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง เป็นความรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็แปลกประหลาดไม่ใช่น้อย

คือแทนที่มันจะถูกเล่าด้วยข้อมูลและการสัมภาษณ์ที่ถูกจัดวางด้วยการตัดต่อ แต่มันกลับถูกนำเสนอด้วยวิธีประหลาด ๆ ด้วยการเล่ามันออกมาแบบสด ๆ รวมไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ จากความทรงจำในขณะนั้น ถูกเล่าออกมาผ่านปากของพวกเขาเองร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม และด้วยการที่มันถูกเล่าออกมาด้วยวิธีการที่ดูประหลาด แต่มาด้วยท่าทีสบาย ๆ ผ่อนคลาย มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับได้นั่งจิบเบียร์ฟังเพื่อนเมาท์มอย เล่าเรื่องเก่า ๆ ทั้งสุขและทุกข์แบบหมดเปลือก

ซึ่งการทำอะไรแบบนี้ ผลพลอยได้ก็คือ เรามักจะได้เห็นอะไรเล็ก ๆ ที่ออกมาจากปากของทั้่งคู่ ตั้งแต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เรื่องเมาท์ อารมณ์ต่าง ๆ รวมถึงความเกรียนนอกลู่นอกทาง ผิดคิวบ้าง หรือโดนผู้กำกับ Spike Jonze ป่วนแกล้งอำบ้าง (ในแบบที่ถ้าเป็นโชว์ทั่วไปหรือสารคดีปกติคงโดนโห่ไปแล้ว) รวมไปถึงการใช้พร็อพและมัลติมีเดียทั้งภาพและเสียงประกอบการโชว์ และการสาธิตแสดงตัวอย่างให้เห็นภาพไปด้วยตลอดทั้งโชว์ ทำให้โชว์ที่ออกมากลายเป็นสารคดีที่ดูเหมือนเดี่ยวไมโครโฟน หรือเป็นเดี่ยวไมโครโฟนที่เหมือนสารคดียังไงยังงั้นเลย!

ที่ผมชอบมากที่สุดอีกจุดหนึ่งนอกจากความเกรียนของสารคดีเรี่องนี้ คือการที่ทั้งคู่ได้อุทิศเรื่องเล่าส่วนหนึ่ง เล่าเรื่องต่าง ๆ ของเพื่อนสนิทผู้ล่วงลับอย่าง MCA หรือที่ทั้งคู่เรียกว่าเขาว่า “Yauch” ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นต้นกำเนิดวง และเป็นมือเบสของวงแล้ว หลาย ๆ ไอเดีย หลาย ๆ เพลงก็มักมีจุดเริ่มต้นมาจากเขา เรื่องเล่าเกี่ยวกับเยาว์ชที่ผมชอบที่สุด คือเรื่องที่วันหนึ่ง ทั่้งคู่เห็นเยาวช์กำลังเล่นเบสในจังหวะที่หนักหน่วงรุนแรง ทั้งคู่จึงไม่รอช้า เข้าไปแจมกีตาร์และตีกลอง ซึ่งมันก็สำเร็จออกมาเป็นทำนองในเวลาอันรวดเร็ว และต่อมา มันก็กลายไปเป็นเพลงแร็ปสุดเร่าร้อนหนักหน่วง ที่กลายมาเป็นซิงเกิลที่ฮิตที่สุดของวงอย่าง Sabotage นั่นเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ หลายคนที่ไม่ใช้แฟนเพลงคงนึกไม่ออกแน่ ๆ ครับ ว่าทำไมผมดูแล้วถึงกับกับน้ำตาซึมไปเลย คือแค่เสียงเบสกับกลองมา น้ำตาผมก็ไหลไปแล้วเรียบร้อย…

และยังรวมไปถึงเรื่องความสนใจของเขาต่อพุทธศาสนานิกายทิเบต และเป็นหัวหอกในการจัดคอนเสิร์ตเพื่อปลดปล่อยทิเบตจากจีนด้วย รวมถึงการที่เขาเองนั้นมักจะเป็นหัวหอกในการคิดค้นอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงเสมอ ทั้งตัวเพลง MV หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการออกแบบปกแผ่นเสียง ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง ทั้ง Mike D และ Ad-Rock ได้ให้เครดิตและเล่าถึงเพื่อนผู้ล่วงลับอย่างเยาวช์อยู่เนือง ๆ

จะว่าไปถ้าพูดถึงการเล่าเรื่องของ Mike D และ Ad-Rock นั้นก็ถือว่าไม่ใช่ธรรมดานะครับ แน่นอนว่าแม้เขาเองจะเล่าเรื่องต่าง ๆ (ที่ส่วนใหญ่จะออกแนวกวน ๆ) ผ่านการแร็ป แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างหนึ่งเมื่อได้ดูสารคดีไปถึงระยะหนึ่งคือ แม้ว่านี่จะเป็นสารคดีที่เล่าเรื่องแบบเดี่ยวไมโครโฟน ผมกลับรู้สึกได้ถึงพลังอะไรบางอย่าง เวลาที่พวกเขาเล่าเรื่องมัน ๆ เกรียน ๆ พวกเขาก็เล่าออกมาแบบออกรส ส่วนเรื่องไหนที่เรียบง่าย หรือเรื่องเศร้าสร้อย พวกเขาก็เล่ามันอย่างเรียบง่าย ผ่อนคลาย เสมือนเพื่อนที่กำลังเล่าเรื่องความทุกข์ในชีวิตให้เพื่อนฟัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สำหรับผม ผมว่ามันมีพลังงานบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพลังงานในการ Flow หรือร้องแร็ปยังไงยังงั้นเลยแหละ!

ทุกคำพูด ทุกเรื่องราวของเขาเป็นเหมือน Rhyme ที่เล่าเรื่องราวชีวิตจริงในแต่ละจุด แต่ละขั้นอย่างไหลลื่นมาก ๆ จนฟังเหมือนราวกับว่ากำลังดูคอนเสิร์ต Beastie Boys ที่เป็นเรื่องราวชีวิตจริงและเข้มข้นทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ การเติบโต การเปลี่ยนแปลง การยอมรับว่ามุกห่าม ๆ ในบางเพลงมันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องตลก เรื่องเกรียน ๆ บ้าบอคอแตก หรือแม้แต่เรื่องเรียบง่ายธรรมดาอย่างเรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อน 3 คนที่เหนียวแน่นและอยู่ด้วยกันซะยิ่งกว่าครอบครัวเสียอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมชื่นชมว่าพวกเขาทำได้เฉียบขาดและดูสนุก รวมถึงเรื่องราวบางช่วงบางตอนที่ดูแล้วอาจจะรู้สึกน้ำตาซึมเอาได้ง่าย ๆ เลย

แต่ถ้าเอาเข้าจริง ๆ ถ้าจะมองในแง่ของการเป็นสารคดี ก็ต้องยอมรับว่า การดำเนินเรื่องเองก็ยังหลีกหนีขนบของสารคดีวงดนตรีไม่ค่อยจะพ้นนัก (เพียงแต่ว่าการนำเสนอมันใหม่เฉย ๆ) ขนบการเล่าเรื่องจาก A ไป B ที่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรฉูดฉาดหวือหวามากมายนัก ซึ่งจะมองว่าเป็นข้อดีก็พอได้นะครับ ในแง่ที่ว่าใครที่ไม่เคยได้ยินวงนี้ หรือไม่ได้เป็นแฟนวงนี้ หรือเพิ่งจะมาตามวงนี้ และสนใจใคร่อยากรู้ว่าวงนี้มีที่มาอย่างไร วงการฮิปฮอปอเมริกันยุค 80’s เป็นแบบไหน อะไรคือฮิปฮอปแนวโอลล์สคูล อะไรคือดนตรีแนว 808 นี่คือขุมความรู้ที่ดูแล้วน่าจะได้รู้อะไรเยอะแยะแน่นอน แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างในวงการฮิปฮอปที่คนไม่ฟังเพลงฮิปฮอป หรือศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวงการฮิปฮอปมาไม่เยอะมาก ดูแล้วอาจจะพาลงงและอาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อระหว่างดูไปเลยทีเดียวเหมือนกัน

อีกอย่างที่เป็นข้อสังเกตบางประการนะครับ คือผมรู้สึกว่าสารคดีเรื่องนี้แอบ “ตกท้องช้าง” อยู่บ้างเหมือนกัน ทั้งเรื่องของมุกต่าง ๆ ทีต้องยอมรับว่า มีบางมุกที่ Mike D และ Ad-Rock เล่นไปแล้วก็แอบไม่ฮา (คือไม่ฮาทั้งผมและคนดูที่ดูโชว์อยู่) อยู่เหมือนกัน รวมถึงมุกบางอย่างที่ไม่ใช่มุกสด ๆ เป็นมุกที่เตรียมมาแล้วในบทแสดง หรือมุกที่เฉพาะด้านมาก ๆ อเมริกันจ๋า ๆ ผมเองก็รู้สึกว่าก็เป็นมุกที่ชวนให้คนไทยหัวดำ ๆ อย่างผมแอบไม่เก็ตอยู่เหมือนกันนะครับ รวมถึงจังหวะการป่วนแกล้งของ Spike Jonze บางจังหวะที่ดูเหมือนว่าจะทำตลก แต่ก็กลับดูเป็นการขัดจังหวะการแสดงจนพาลให้ดูงง ไม่ตลก และตกท้องช้างไปอย่างน่าเสียดาย

แต่มุกง่าย ๆ อย่างเช่นการตั้งชื่อบท (Chapter) ที่สั้นจิ๊ดเดียวบ้าง ยาวโคตร ๆ แบบกวนส้นบ้าง หรือจุดที่ Mike D และ Ad-Rock เล่าถึงวิธีการแต่งเพลงในระหว่างที่เดินเล่นบนถนน การใส่บีทบางบีทที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลงนั้น ๆ ให้ได้ยิน การใช้พร็อพหรือการแซวกับภาพประกอบบางภาพ หรือจังหวะของการเผยโฉมหน้าอัลบั้มแต่ละอัลบั้ม กลับเป็นมุกที่ผมรู้สึกว่าทำได้แบบโดนใจและชวนให้ยิ้ม (ในฐานะแฟนคลับ) ได้ดีทีเดียว

แน่นอนว่า Beastie boys Story อาจไม่ใช่สารคดีที่เหมาะกับทุกคน มันเหมาะกับบางคนที่เป็นแฟนคลับวงนี้ และชอบฟังฮิปฮอปอยู่เป็นทุนเดิม หรือชอบเรื่องราวของวงการดนตรี หรือแม้แต่ “แค่รู้สึกชอบเพราะว่ามันเกรียนดี” สารคดีเรื่องนี้น่าจะเป็นความบันเทิงที่พลาดไม่ได้จริง ๆ มันคือสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ความเกรียนตลอด 40 ปีที่วงฮิปฮอปเกรียน ๆ วงนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ผ่านการแสดงสดที่แม้ว่าจะไม่ได้หวือหวา หรือดูแล้วฮาแตกขำกลิ้ง (บางจุดก็แอบน่าเบื่อนิด ๆ ด้วย) แต่มันก็เป็นการแสดงสารคดีสดที่ “สดจัด” และ “สุดจัด” ในเรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาเป็นคนถ่ายทอดมันด้วยตัวเองในความยาวเกือบ ๆ 2 ชั่วโมงตั้งแต่ต้นจนจบ

และพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าความเกรียนของพวกเขามันสดจัด และกลายเป็นตำนานของวงการฮิปฮอปโลกจริง ๆ นะครับ เพราะแม้ว่าเขาจะหยุดวง หยุดร้องเพลง หยุดทำตัวเกรียนไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของแฟน ๆ ทั่วโลก

 

เขาหยุดทุกอย่างไว้ที่คำว่า “โคตรเกรียน” ต่างหาก!!!

 

ชม Beastie Boys Story บน Apple TV+ ได้ที่นี่

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส