[รีวิว]Blood Quantum : ไอเดียซอมบี้แปลกใหม่แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้

Release Date

09/07/2020

Director: Jeff Barnaby

Writer: Jeff Barnaby

Stars: Michael Greyeyes, Elle-Máijá Tailfeathers, Forrest Goodluck

1h 38min

[รีวิว]Blood Quantum : ไอเดียซอมบี้แปลกใหม่แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้
Our score
4.7

Blood Quantun คนคลั่งซัดซอมบี้

จุดเด่น

  1. มีไอเดียแปลกใหม่ในการเล่าเรื่องหนังซอมบี้ที่ล้นตลาด
  2. เป็นหนังทุนต่ำที่ให้งานภาพที่ดูสเกลใหญ่ คุ้มค่าเงินลงทุน
  3. คุมบรรยากาศหนังได้ดี ใส่หมอกใส่ควันดูเป็นเมืองลึกลับ

จุดสังเกต

  1. นักแสดงดูแบนราบ ไม่มีใครโดดเด่นชวนให้เอาใจช่วย
  2. ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคุณลักษณ์พิเศษของชาวอินเดียนแดงได้
  3. ฉากแหวะดูมากเกินจนรู้สึกว่าถูกยัดเยียด
  4. บทหนังสอบตกไม่สามารถสร้างเสน่ห์ตัวละคร และอารมณ์ร่วมจากคนดูได้เลย
  • ตรรกะ ความสมเหตุสมผลของ บทภาพยนตร์

    4.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    7.5

  • คุณภาพนักแสดง

    4.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    5.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    3.0

ผลงานหนังยาวเรื่องที่ 2 ของ เจฟ บาร์นาบี ผู้กำกับร้อนวิชา ที่มักจะเหมารวบหน้าที่สำคัญเองหมดคนเดียว ใน Blood Quantum ก็เช่นกัน เจฟทำหน้าที่ทั้งเขียนบท, ทำดนตรีประกอบ, ตัดต่อ และกำกับ ดีนะไม่รับบทนำเองด้วย Blood Quantum ไม่ได้ออกฉายในวงกว้าง แต่ตระเวนฉายตามเทศกาลหนังมาตั้งแต่ปลายปี 2019 แล้วปล่อยสตรีมมิงในสหรัฐฯ

เจฟมากับไอเดียแปลกใหม่ในหนังซอมบี้ที่น่าสนใจ ด้วยการเล่าเหตุการณ์ซอมบี้แพร่ระบาดในหมู่บ้านอินเดียนแดงที่ชื่อ Red Crow เขายังกำหนดคุณสมบัติพิเศษให้กับเหล่าอินเดียนแดงว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีภูมิต้านทานเชื้อซอมบี้ ต่อให้โดนกัดพวกเขาก็จะไม่กลายร่างเป็นศพเดินดิน

3 ตัวละครนำ พ่อและลูกชายทั้งสอง
สนับสนุนเนื้อหาโดย

เจฟ ยังกำหนดที่มาของเชื้อใหม่เสียด้วย ว่ารอบนี้เชื้อนั้นมาทางน้ำ แพร่พันธุ์มากับปลาแซลมอนที่มนุษย์และสัตว์เอามากิน เลยเป็นซอมบี้กันได้ทั้งคนทั้งสัตว์เลย หนังค่อนข้างใช้เวลาช่วงต้นพอสมควรเลยกับการปูบรรยากาศเรื่องราว และแนะนำครอบครัวที่เป็นตัวละครหลัก แล้วก็เป็นครอบครัวใหญ่เสียด้วยสิ มีทั้งพ่อที่เป็นนายอำเภอ แม่ที่เป็นพยาบาล ลูกชายเกเรอีก 2 คน เมียของลูกชายคนเล็ก และปู่ กว่าจะสาธยายความสัมพันธ์ได้ครบถ้วนก็หมดเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยล่ะ พ้นจากครอบครัวนี้ก็ยังมีบรรดาเพื่อนและลูกน้องของนายอำเภออีกหลายคน การที่เริ่มเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครกลุ่มใหญ่แบบนี้ก็เป็นภาระของคนดูล่ะ ที่ต้องคอยจำหน้าจำชื่อให้ได้หมดว่าใครเป็นใคร เพื่อจะตามหนังไปได้อย่างราบรื่น

เมื่อหมู่บ้าน Red Crow ต้องเผชิญกับวิกฤตซอมบี้

หลังจากแนะนำตัวละครครบถ้วน และชาวเมือง Red Crow รับรู้ถึงกลียุคซอมบี้แพร่ระบาดแล้ว หนังก็ตัดฉับกระโดดข้ามไปอีก 6 เดือนข้างหน้าเลย ตรงนี้ล่ะ ที่หนังเริ่มเข้าสู่รูปแบบเดิม ๆ ของหนังซอมบี้แบบโลกหลังวิกฤตการณ์ ที่ผู้คนต้องมาสร้างชุมชนอยู่ร่วมกัน จากช่วงนี้ไปล่ะครับที่รู้สึกได้เลยว่าหนังเริ่ม “เละเทะ” จากไอเดียเริ่มต้นที่ดูดี มีความแปลกใหม่ สร้างความหวังให้คนดูว่าจะได้เห็นหนังซอมบี้ในมุมมองที่แปลกใหม่ ก็ไม่มีมาให้เห็นครับ ขอชี้จุดที่รู้สึกขัดตาขัดใจไปทีละเรื่องเลยนะ

  • บทหนังเหมือนกับไม่รู้ว่าจะให้ใครเป็นตัวร้ายของเรื่องดี จู่ ๆ ก็หยิบหนึ่งในสมาชิกครอบครัวให้ลุกขึ้นมาเป็นตัวร้ายซะงั้น เป็นแบบว่าทันทีทันใด เมื่อตะกี้ยังคุยกันดี ๆ อยู่เลย ผ่านมาไม่ถึง 5 นาที ไอ้นี่กลายเป็นวายร้ายตัวฉกาจของเรื่องไปแล้ว อะไรคือแรงจูงใจเช่นนั้นบอกกล่าวกันบ้างก็ดี คือถ้าดูสตรีมมิงหรือดีวีดี ผมต้องรีเวิร์สกลับมาดูอีกครั้งเป็นแน่ว่าฉันพลาดอะไรไปหรือ แล้วไม่แค่ตัวร้ายเท่านั้นบรรดาผู้ร่วมอุดมการณ์ก็ไม่มีที่มาที่ไปเช่นกัน เหมือนว่าผู้กำกับช้อปปิ้งตัวละคร ไอ้นี่ไปอยู่ฝ่ายนั้น ไอ้นั่นไปอยู่ฝ่ายนี้
  • ขึ้นชื่อว่าหนังซอมบี้ นั่นคือหนังสยองขวัญ คนดูต้องคาดหวังความน่ากลัว ได้ลุ้น ได้ตกใจ บอกได้เลยว่าไม่มี คือมีนะครับ ฉากที่พยายามให้ลุ้นฉากเงียบ ๆ ตัวละครเดินช้า ๆ แต่ในฐานะคนดูไม่ได้รู้สึกตามไปด้วยเลย ตลอดเรื่องไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศหนังน่ากลัว แล้วก็ไม่มีฉากตกใจด้วย ไม่มีทั้งตุ้งแช่ ทั้งตกใจด้วยภาพด้วยเสียง ไม่ใช่แค่บรรยากาศความน่ากลัว แต่ผู้กำกับไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมใด ๆ ได้เลย ทั้งความผูกพันของพ่อแม่ลูก หรือแม้แต่ระหว่างคนรัก ซึ่งหนังก็มีอยู่ 2-3 ฉาก ที่พยายามจะบิวท์คนดูกับฉากคู่รักทำซึ้ง ๆ ใส่กัน ซึ่งมันสมควรจะส่งผลในฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง แต่กลับเปล่าประโยชน์
  • สิ่งที่หนังมีให้แบบอิ่มจุกคือฉากแหวะ มาในปริมาณที่มากเกิน แต่แปลกไหมล่ะ เรื่องนี้ห่างจากหนังซอมบี้ของ จอร์จ เอ. โรเมโร ตั้ง 40 ปี ฉากเจาะพุงกินไส้ ยังไม่รู้สึกสยดสยองเท่าที่เห็นใน Dawn of the Dead และ Day of the Dead เลย หนังเล่นกับไส้เยอะมาก ทั้งไส้คนไส้ซอมบี้ แทงกันด้วยมีด ด้วยเลื่อยโซ่เลือดกระฉูดเต็มจอ เวลามีศพตาเละ ๆ ก็จะเอากล้องจ่อแล้วแช่ไว้แบบนั้น ไม่เกินไปถ้าจะใช้คำว่ายัดเยียดจนเกินพอดี
  • ฉากตายของตัวละคร เป็นปกติอยู่แล้วของธรรมเนียมหนังสยองชวัญ ที่แนะนำตัวละครมาเยอะ ๆ แล้วก็เลือกให้คนนั้น คนนี้ทยอยกลายเป็นเหยื่อ ให้คนดูคาดเดาไปว่าใครจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย แต่ฉากตายแต่ละตัวนี่มันช่างไร้ค่า มันเป็นปัญหามาตั้งแต่ที่หนังไม่สามารถสร้างตัวละครให้มีเสน่ห์ต่อคนดูได้ ผู้ชมก็เลยไม่รู้สึกผูกพันเอาใจช่วยกับตัวละครใด ๆ เลย นอกเหนือจากตัวพ่อที่เป็นนายอำเภอแล้ว ตัวละครที่เหลือก็ดูจะมีบทบาทเท่า ๆ กันไปหมด พอมีใครตายมันก็เลยขาดอารมณ์ร่วมจากคนดู บนจอนั้นแช่ภาพตัวละครที่กำลังโดนซอมบี้รุมทึ้ง กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดนตรีช้าซึ้งบรรเลงเข้ามา แต่ในความรู้สึกคนดูนี่มีแต่คำถาม “ตายแบบเนี้ยน่ะเหรอ” ถ้าให้เทียบกันแล้ว บรรดาตัวละครวัยรุ่นในหนังศุกร์13 หรือ นิ้วเขมือบ ที่ตายไปยังให้ความบันเทิงก่อนตายได้มากกว่านี้เลย
  • นักแสดงโนเนมล้วน ๆ ไม่มีใครที่คุ้นหน้าสักคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือบทที่ทำให้ตัวละครทุกตัวแบนราบ มิติเดียว ต้นจนจบเรื่องก็อยู่ในอารมณ์เดียว บวกกับฝีมือการแสดงแต่ละคนก็ไม่มีรายไหนที่ทำอะไรได้มากกว่าบทที่ตีกรอบไว้ จนไม่มีใครเลยที่โดดเด่นดูเข้าตา
  • 15 นาทีสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าพิรี้พิไรมาก เมื่อคนดูผ่านภาพเลือด อวัยวะภายในมากว่า 1 ชั่วโมงแล้ว แล้วชะตากรรมตัวละครก็เห็นบทลงเอยไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ชวนติดตามอีกต่อไป แต่หนังก็ยังไม่จบ ต้องดูฉากพิรี้พิไรในครอบครัวนี้ ทำให้หนังซึ่งยาวเพียงแค่ 90 นาที ก็ดูยาวนานได้
คุณปู่นักบู๊ ผู้พิสมัยดาบซามูไร

พูดกันถึงด้านดีบ้าง งานโปรดักชันของหนังใช้เงินได้คุ้มค่ามาก ทุกคนรู้ล่ะว่านี่คือหนังทุนต่ำ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพเหตุการณ์ในมุมกว้างที่เมืองใหญ่ตกอยู่ในกลียุค ตัวประกอบมาเล่นซอมบี้เยอะมาก ภาพมุมสูงเห็นซอมบี้เป็นร้อย ๆ ตัววิ่งกันขวักไขว่ หนังคุมโทนสีได้ดี มีหมอกฟุ้ง ๆ อยู่ตลอดเวลาช่วยให้บรรยากาศเมืองหลังซอมบี้แพร่ระบาด ดูดิบร้าง เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ดูลึกลับ แล้วการคุมโทนสีให้ซีด ๆ หม่น ๆ ก็ช่วยลดความรุนแรงของสีเลือดไปได้บ้าง ไม่งั้นจะแดงฉานไปทั้งจอ อาจจะมีคนดูต้องวิ่งเข้าห้องน้ำระหว่างเรื่องกันบ้างล่ะงั้น

สรุปได้ว่าผู้กำกับเจฟ บาร์นาบี มากับไอเดียเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้หยิบประเด็นเรื่องอินเดียนแดงมีภูมิคุ้มกันซอมบี้มาขยายให้น่าสนใจเพียงพอ ซึ่งวัตถุดิบตัวนี้ถ้าอยู่ในบทภาพยนตร์ที่ดี สมควรที่จะออกมาเป็นหนังซอมบี้ที่สนุกมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยล่ะ