[รีวิว] The Old Guard: แอ็กชันคนไม่ยอมตาย ความตื้นเขินแห่งการเป็นอมตะ

Release Date

10/07/2020

ความยาว

2 ชั่วโมง 5 นาที

ผู้กำกับ

จีนา พรินซ์-บายเดวูด

[รีวิว] The Old Guard: แอ็กชันคนไม่ยอมตาย ความตื้นเขินแห่งการเป็นอมตะ
Our score
6.9

The Old Guard

นี่เป็นหนังที่ดูเอาเพลินเอาสนุกได้เลยล่ะ ไม่ถือว่าเสียเวลาแต่อย่างใด อาจดูดีกว่าเอาไปทำเรื่องไร้สาระอื่น ๆ เสียด้วย ทว่ามันไม่มีอะไรให้น่าจดจำเอาเสียเลย เป็นอาหารที่ผ่านเข้าปากแล้วไหลลงทวารได้สบายโดยร่างกายไม่ต้องเพิ่มภาระการดูดซึมใด ๆ ให้เหนื่อย

จุดเด่น

  1. นักแสดงคุณภาพหลายคนทั้ง ชาร์ลิส เธอรอน จิวีเทล เอจิโอฟอร์ หรือหน้าใหม่สุดอย่าง กิกิ เลน การนำเสนอความลึกของตัวละครหลายฉากที่ทำได้ดี ทำให้หนังที่พลอตไม่ได้มีอะไรว้าวดูมีมิติมากขึ้น ซีจีบางฉากทำได้ดี

จุดสังเกต

  1. การออกแบบฉาก มุมกล้อง การต่อสู้ ดูธรรมดาจนแบน จุดเด่นหลาย ๆ อย่างไม่ได้เข้ากับการเป็นหนังแอ็กชันจ๋า เรียกว่าได้ของดีมาใช้ผิดจุดประสงค์เสียเยอะ
  • บท

    6.5

  • การแสดง

    8.0

  • โพรดักชัน

    6.0

  • ความสนุก

    7.0

  • ควาคุ้มค่าในการรับชม

    7.0

เน็ตฟลิกซ์ นำเสนอหนังเข้าใหม่ที่น่าจับตามองอีกครั้ง เพราะได้หน้าสวย ๆ ของ ชาร์ลิส เธอรอน มานำทีมก็เรียกความสนใจจากคอหนังฝรั่งได้มากโขอยู่แล้ว ยิ่งงานหลัง ๆ ของเธอในแนวแอ็กชันก็เรียกได้ว่าผลงานคุณภาพมาต่อเนื่อง ตั้งแต่บทรองที่เด่นเหมือนบทนำคู่ใน Mad Max: Fury Road (2015) หรือการเป็นจอมวางแผนที่สวยร้ายสุด ๆ ในหนังรถแข่งกู้โลกอย่างตระกูล Fast แล้วยิ่งมาประกอบกับเรื่องย่อของหนังว่าด้วยเหล่าคนอมตะที่มีชีวิตยืนยาวมาหลายศตวรรษ ฆ่าก็ไม่ตาย และได้รวมกลุ่มกันต่อสู้กับความอยุติธรรมในสมรภูมิต่าง ๆ ทั่วโลกอีก เรียกว่าทรงมาแบบตีหัวเข้าบ้านสบาย

สำหรับเนื้อเรื่องจะเป็นการดัดแปลงจากกราฟิกโนเวลของ เกร็ก รักคา นักเขียนที่มีผลงานโลดแล่นอยู่ทั้งค่าย DC และ Marvel เรียกว่าจับมาหมดแล้วทั้ง แบทแมน ซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน หรือ เอ็กซ์เมน สำหรับ The Old Guard เป็นกราฟิกโนเวลความยาว 5 เล่มที่ตีพิมพ์ในปี 2017 ซึ่งเมื่อจะมีการนำมาทำเป็นหนัง ตัวรักคาเองก็ขอทำการเขียนบทดัดแปลงด้วยตนเอง โดยตัวเขาก็มีผลงานการเขียนบทซีรีส์โทรทัศน์และวิดีโอมาพอสมควรแล้วด้วย ดังนั้นบทที่ปรากฏแก่สายตาเราจึงแทบจะเป็นงานที่ออกมาแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับตัวกราฟิกโนเวลเลยทีเดียว ยิ่งบางฉากนั้นคล้ายถึงขนาดมุมกล้องในหนังสือทีเดียว

ส่วนด้านผู้กำกับก็ได้ จีนา พรินซ์-บายเดวูด ผู้กำกับสาวเชื้อสายแอฟริกันที่ทำผลงานสายดราม่าเกี่ยวกับคนแอฟริกัน-อเมริกันได้รางวัลมาแล้วมากมาย นี่ก็เป็นการจับทางหนังตลาดที่พลิกไปแอ็กชันจ๋าครั้งแรกของเธอเช่นกัน ก็อาจเป็นกระแสใหม่ของฮอลลีวูดที่ให้โอกาสผู้กำกับหญิงมาสร้างความแตกต่างในกลุ่มหนังแอ็กชันหรือหนังซูเปอร์ฮีโรกันมากมายในช่วงหลายปีหลัง

จีน่า (คนกลาง)

แต่สำหรับงานนี้ของจีน่าก็ต้องบอกว่าในส่วนของแอ็กชันนั้น ไม่ได้แปลกใหม่แต่อย่างใด เป็นหนังขนบหลังจอห์น วิกฟีเวอร์ที่เน้นการยิงแม่นยำเน้นเข้าจุดตายว่องไว ผสมการใช้ปืนกับการรุกประชิด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีถ้าเราไม่ได้เห็นกันจนเกร่อเสียแล้วในช่วงปีหลัง ๆ และยิ่งมุมกล้องเองก็ไม่ได้สร้างสีสันใหม่ ๆ อะไรเท่าใดนัก ฉากต่าง ๆ ในเรื่องก็แบนไร้ความน่าจดจำ แม้แต่ไคลแมกซ์ของเรื่องที่ฉากควรอลังที่สุดก็ยังแบนราบไร้ความน่าสนใจ ไม่ได้สร้างความรู้สึกกดดันหรือยิ่งใหญ่อะไรได้เลย ในความเป็นหนังแอ็กชันเลยขาดความว้าวไปเยอะมาก ๆ

ยังไม่นับว่าบทมันทื่อเสียจนแค่วางตัวละครมา เราก็แทบเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนังได้เลย อย่างเรื่องที่ว่า ชาร์ลิส เธอรอน เป็นตัวละครนำของทีมอมตะ ซึ่งดาราคนอื่นบารมีห่างชั้นแบบไกลเกินไป (ดาราที่พอสูสีอย่าง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ จากหนัง Doctor Strange ก็กลายเป็นตัวละครในฝั่งอื่นเสียอีก) พอเมื่อมีตัวละครใหม่อย่างไนล์เข้ามาในทีมแบบที่บทจงใจปั้นให้เป็นตัวละครนำเต็มที่ และเมื่อมีการเล่าถึงความตายของคนอมตะในอดีต ใครที่ดูหนังมามากพอควรก็แทบเดาชะตากรรมของแอนดี้และคณะได้แล้ว นี่ยังไม่นับความตื้นด้านพลอตของตัวละครหนึ่งในทีมที่แทบจะเอาไปหลอกใครให้ตกใจกับการหักมุมไม่ได้เลยด้วยนะ

ข้อดีของการได้จีน่ามาที่เห็นชัดคือความลึกของมิติตัวละครบางตัวผ่านการสนทนา อย่างตอนที่ บุ๊กเกอร์ เล่าถึงความตายของลูกชายคนสุดท้องของเขาด้วยความเจ็บปวดที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาต่อ ๆ มา หรือการสื่อสารผ่านสายตาของตัวละคร แอนดี้ ที่สะท้อนประสบการณ์ความโศกเศร้าสะสมหลายศตวรรษ โดยแทบไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ การกำกับการแสดงและสื่อสารด้านดราม่าเหล่านี้เสียอีกที่กลายเป็นจุดแข็งให้หนังเรื่องนี้ และยังอาจต้องนับการแคสต์นักแสดงสาวจากหนังสายรางวัลอย่าง กิกิ เลน จากหนัง If Beale Street Could Talk (2018) ที่ถูกพูดถึงในเวทีออสการ์ปีนั้นพอสมควรมารับบท ไนล์ ที่ต้องเด่นรองจากเธอรอนเลย ก็น่าจะเพราะการได้จีน่ามากำกับเรื่องนี้ด้วยนั่นล่ะ ทว่ามันก็ไม่ได้ตอบความคาดหวังของผู้ชมที่ตั้งใจมาดูหนังแอ็กชันมันสะใจเท่าไร หรือนักแสดงคุณภาพหลาย ๆ คนก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนดูหนังแอ็กชันอยู่แล้ว กลายเป็นรู้สึกแปลก ๆ กับเหล่าตัวละครที่จงใจให้หลากเขื้อชาติหลากเพศสภาพอะไรพวกนี้เสียด้วยซ้ำ เรียกว่าแข็งก็ดีแต่ผิดที่ผิดทาง

จุดนี้อาจต้องว่าไปถึงเนื้อหาของรักคาที่วางพื้นฐานด้านปรัชญาหรือธีมของเรื่องไว้ด้วยว่าตื้นเขินเกินไปสักหน่อย ในยุคแห่งผลิตผลของเรื่องเล่าความเป็นอมตะ เราได้เห็นปรัชญาของหนังอย่าง Highlander ที่ความเป็นอมตะถูกผูกกับผู้คน/ความสัมพันธ์/ความรู้และอุดมการณ์ การสิ้นสุดของความเป็นอมตะที่ยุติลงด้วยการถูกตัดหัวและการถ่ายทอดความรู้ต่อเนื่องกันไป ทำให้บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความลึกของวิธีคิดต่าง ๆ ของแต่ละตัวละคร หรือใหม่หน่อยอย่าง Ajin ของญี่ปุ่นที่สะท้อนความบ้าคลั่งไร้เหตุผลของมนุษย์ และความน่ากลัวจากความหวาดระแวงในหมู่คน การมองคนไม่เป็นคน และการนำเสนอการต่อสู้ของหลากหลายอุดมการณ์ความคิด ผ่านฉากแอ็กชันขนาดใหญ่และกลยุทธ์การปะทะกันอย่างถึงกึ๋น

เมื่อมองกลับมายัง The Old Guard ที่ถึงแม้จะมีความพยายามนำเสนอหลาย ๆ แง่มุมที่หนังเรื่องก่อน ๆ ว่ามาแต่ก็เบาบางมาก ฉากที่เพื่อนของไนล์เริ่มหวาดระแวงที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ดูไม่สมเหตุสมผลและดูประหลาดขึ้นทันทีเมื่อเราเทียบกับสิ่งที่ตัวละครใน Ajin เผชิญในการตายครั้งแรก ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนอมตะถึงจะดูสมเหตุสมผล แต่ลึก ๆ เราก็จะมีความขัดแย้งในความคิดและการกระทำของตัวละคร เหมือนว่าบทวางด้านลึกของตัวละครไว้สับสนตัวเอง ยิ่งเมื่อไปดูความสำคัญของตัวตนและภาระแห่งตัวตนของการเป็นอมตะนั้น ก็ถูกนำเสนอแบบทื่อ ๆ เหมือนประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้ตัวละครอมตะเหล่านี้ตระหนักอะไรเลย ราวกับเหตการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในใจพวกเขาให้กลายเป็นฮีโรช่วยโลกนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในช่วงหลายร้อยหลายพันปี ทั้งที่ในหนังมันเป็นแค่จุดง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนหรือต้องการปัจจัยพิเศษให้เกิดเหตุการณ์ตกผลึกเลยสักนิด ความน่าเชื่อถือต่อหนังเรื่องนี้เลยต่ำเตี้ยลงไปพอสมควร

จริง ๆ มันก็ไม่ควรเอาหนังเรื่องนี้ไปเทียบกันเรื่องอื่น ๆ หรอกเพราะต่างคนก็ต่างมีจุดอยากนำเสนอที่ต่างกัน เพียงแค่อยากสื่อว่าในยุคที่ปมประเด็นนี้ถูกนำเสนออย่างหลากหลายน่าสนใจมากขนาดนี้ การไม่ทำการบ้านอะไรเลย และย่ำอยู่กับไอเดียที่เชยเอามาก ๆ แล้ว ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย

สรุป นี่เป็นหนังที่ดูเอาเพลินเอาสนุกได้เลยล่ะ ไม่ถือว่าเสียเวลาแต่อย่างใด อาจดูดีกว่าเอาไปทำเรื่องไร้สาระอื่น ๆ เสียด้วย ทว่ามันไม่มีอะไรให้น่าจดจำเอาเสียเลย เป็นอาหารที่ผ่านเข้าปากแล้วไหลลงทวารได้สบายโดยร่างกายไม่ต้องเพิ่มภาระการดูดซึมใด ๆ ให้เหนื่อย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส