[รีวิว] Project Power: X-Men ฉบับเน็ตฟลิกซ์ ตื่นตา แต่ยังไม่น่าติดตาม (ถ้ามีภาคต่อ)

Release Date

14/08/2020

ความยาว

111 นาที

ผู้กำกับ

เฮนรี จูสต์ และ เอเรียล สคุลแมน จาก Paranormal Activity 3 และ 4

แนวหนัง

ซูเปอร์ฮีโร, แอ็กชัน, ตำรวจ, ดราม่าวัยรุ่น

[รีวิว] Project Power: X-Men ฉบับเน็ตฟลิกซ์ ตื่นตา แต่ยังไม่น่าติดตาม (ถ้ามีภาคต่อ)
Our score
7.6

Project Power

จุดเด่น

  1. ซีจีเด่น ความสดใหม่ของการนำเสนอเรื่องราวซูเปอร์ฮีโรที่ดี นักแสดงชายที่น่าดึงดูด

จุดสังเกต

  1. บทหนัง การเดินเรื่องธรรมดา ยังหาจุดเด่นของตนเองไม่ได้
  • บท

    6.5

  • โพรดักชัน

    9.0

  • การแสดง

    8.0

  • ความสนุก

    7.0

  • ความคุ้มค่าเวลารับชม

    7.5

2 ผู้กำกับจากหนัง Paranormal Activity ภาค 3 และ 4 อย่าง เฮนรี จูสต์ และ เอเรียล สคุลแมน ได้โอกาสจากเน็ตฟลิกซ์ทำหนังแนวซูเปอร์ฮีโรในแบบฉบับของตัวเอง โดยได้ แมตสัน ทอมลิน ที่กำลังมีผลงานเขียนบทร่วมกับผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ ในหนังรีบูท The Batman มารับหน้าที่เขียนบท ว่ากันตามนี้เราน่าจะได้เห็นหนังที่ได้พลังความสดจากทีมเบื้องหลังที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ การรับโจทย์ตีความหนังซูเปอร์ฮีโรในแบบ X-Men (หรือจะพูดว่า The Inhumans ก็ได้) ที่ได้พลังจากยาแบบชั่วคราวจนกลายเป็นการเสพติดพลัง ก็น่าจะได้เห็นทรวดทรงใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ทว่าในแง่เรื่องราวมวลรวม หนังเล่นท่าพื้นฐานมากพอสมควร มากเสียจนเนื้อหาอาจไม่ใช่จุดเด่นที่ดึงดูดให้เราอยากติดตามเรื่องราว เพราะนับแต่เปิดเรื่องก็แทบเฉลยทันควันว่าพลังเหนือมนุษย์ทั้งหลายแหล่ต่อไปนี้เกิดจากยาลึกลับที่เรือนาม เจเนซิส นำมาปล่อยให้แก๊งค้ายาในเมืองนิวออร์ลีนไปทดลองแบบฟรี ๆ และเพียงครึ่งทางของหนังก็เฉลยถึงเหตุจูงใจของเหล่าตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังเสียแล้ว เรียกว่าทำลายมู้ดแบบหนังสืบสวนแนวตำรวจปราบแก๊งค้ายาที่วางไว้ดิบดีไปง่าย ๆ แถมเหตุผลที่ว่าก็ไม่ได้เกินคาดแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด

ทั้งที่ภารกิจของเหล่าตัวเอกในฐานะตัวแทนสายตาผู้ชมไม่ว่าจะเป็น โรบิน เด็กสาวผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์แต่ฐานะทางบ้านปิดบังโอกาสเลยจำต้องมาแจกจ่ายยาพาวเวอร์จากญาติของตัวเอง และบังเอิญต้องมาพัวพันกับ อาร์ต อดีตทหารที่ออกตามหาลูกสาวซึ่งถูกลักพาตัวไป จนตามรอยมาถึงแก๊งค้ายาที่ญาติของโรบินเป็นสายส่ง และสุดท้าย แฟรงก์ ตำรวจสายขบถแห่งนิวออร์ลีนที่เชื่อว่าการปราบอาชญากรที่มีพลังพิเศษต้องใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ทำให้เขาเข้ามาใกล้ชิดกับโรบินในที่สุด เส้นเรื่องใหญ่จึงเป็นการที่อาร์ตออกตามสืบหาลูกสาวโดยมีโรบินและแฟรงก์ติดร่างแหเข้ามาจนกลายเป็นทีมเฉพาะกิจที่ต้องปะทะกับเหล่าผู้มีพลังพิเศษ ขยายวงไปถึงองค์กรข้ามชาติที่ทำการทดลองยาพาวเวอร์ ไม่มีอะไรซับซ้อนไปจากนี้

ถึงเรื่องราวจะเกิดขึ้น และจบไปแบบไม่มีอะไรใหม่ให้น่าสงสัยติดตามภาคต่อ (ถ้ามี) แต่สิ่งที่ 2 ผู้กำกับจากหนังผีกล้องวงจรปิดได้ปล่อยของไว้ กลับคือ งานอาร์ตและซีจีที่ตื่นตาเกินมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์ทั่วไป มีความสดใหม่ด้านภาพที่ทรงพลัง ฉากที่อาร์ตต้องปะทะกับมนุษย์เพลิงตอนต้นเรื่องจัดว่าตื่นตาตรึงใจได้ไม่น้อยทีเดียว การรอคอยดูพลังของแต่ละตัวละครกลายเป็นความน่าติดตามมาก ๆ ว่าคนนั้นจะมีพลังแบบไหน และแสดงออกพลังด้วยซีจีอย่างไร ซึ่งก็มีทั้งตัวที่เจ๋งมาก ๆ อย่างมนุษย์เพลิง มนุษย์น้ำแข็ง มนุษย์ยักษ์ แล้วก็ที่ดูธรรมดา ๆ อย่างมนุษย์กายเหล็ก หรือแค่มีพลังกายเพิ่มเท่านั้น

ในขณะที่รายละเอียดของพลัง ก็มีความสดใหม่ในการนำเสนอ เช่น การใช้ยาที่มีเวลาจำกัดในการออกฤทธิ์ไม่กี่นาที ทำให้ต้องวางแผนการใช้ หรือการใช้เกินขนาดร่างกายรับไม่ไหวก็ตายได้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะรับพลังได้ตั้งแต่เม็ดแรก บางรายตัวระเบิดไปเลยก็มี อย่างไรก็ตามคำอธิบายที่มาของพลังก็ยังเป็นรูโหว่เล็ก ๆ เมื่ออาร์ตเฉลยว่าพลังจากยานี้มีที่มาจากพลังของพวกสัตว์ ซึ่งยากจะหาคำอธิบายว่ามนุษย์เพลิงกับมนุษย์น้ำแข็ง ไปเอาพลังจากสัตว์ประเภทไหนมา แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดอ่อนร้ายแรงนัก (แต่ร้ายแรงแน่ถ้าจะมีภาคต่อแล้วยังยึดคำอธิบายนี้)

สิ่งที่จูงใจให้หนังน่าดูอีกอย่าง คือการมาโชว์ฝีมือของ เจมี ฟ็อกซ์ ในบท อาร์ต ที่อาจไม่ใช่งานยากของฟ็อกซ์นักเพราะตัวละครมีเป้าหมายเดียวคือห่วงและตามหาลูกสาว มีความขัดแย้งในตัวแค่ว่าไม่ใช่คนเลวแต่ต้องใช้วิธีการที่รุนแรงในบางครั้งเพื่อสืบหาคนที่ลักพาตัว ในขณะที่ดาราอีกคนอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ก็สวมบท แฟรงก์ ตำรวจนอกคอกที่รักเมืองเกิดจนยอมขายวิญญาณให้พลังได้แบบไม่ยากเย็นเช่นกัน

โจทย์หนักน่าจะมาอยู่ที่ดาราหน้าใหม่อย่าง โดมินิก ฟิชแบ็ก ดาราสาวสายทีวีซีรีส์ที่ได้บทนำจากการโชว์ฝีมือในหนังโรงสายเวทีประกวดเพียงเรื่องเดียว แล้วต้องมาปะทะกับดาราเบอร์ใหญ่ทันที โดยตัวละคร โรบิน ของเธอเป็นตัวแทนผู้ชมให้เข้าไปสู่โลกของหนังอย่างแท้จริง ซึ่งพูดกันตามตรงว่าด้านเซ็กซ์แอปพีลของเธอนั้นไม่ได้เป็นจุดแข็ง แต่การสื่อภาวะของวัยรุ่นที่สับสนในชีวิตตัวเองไม่พอแล้วบังเอิญต้องมาเจอปัญหาใหญ่ที่ผู้ใหญ่ยังรับมือลำบาก ก็ถือว่าแสดงได้ผ่านมาตรฐาน พอพยุงหนังไปได้ ซึ่งก็น่าเสียดายถ้าบทหนังเปิดโอกาสให้เหล่าตัวละครนำมีมุมที่ลึกและน่าสนใจแตกต่างจากตัวละครสูตรที่ใช้กันบ่อยแล้วอย่างนี้ หนังน่าจะมีจุดแข็งหลักในการนำเสนอภาคต่อได้

สรุป นี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์สายซูเปอร์ฮีโรที่ผิวหน้าวูบวาบตื่นตาทั้งงานภาพ งานอาร์ต และซีจี มีรายละเอียดเกี่ยวกับพลังที่คิดว่าต่อยอดพัฒนาให้สนุกได้มากกว่านี้ มีดาราที่เห็นก็คุ้นหน้าทำให้อยากดูเป็นแม่เหล็กได้ แต่กระนั้นถึงภายนอกจะตื่นตาเพียงใด แต่ภายในก็ยังไม่ตราตรึงใจนัก ด้วยบทที่ยังหาจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไม่เจอ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส