[รีวิว] Intruder อย่าให้ ยูจิน เข้าบ้าน: ครึ่งแรกงานคราฟต์ ครึ่งหลังงานหยาบ
[รีวิว] Intruder อย่าให้ ยูจิน เข้าบ้าน: ครึ่งแรกงานคราฟต์ ครึ่งหลังงานหยาบ
Our score
7.4

Intruder อย่าให้ ยูจิน เข้าบ้าน

จุดเด่น

  1. การแสดงของ 2 ดารานำ และโพรดักชันแบบเกาหลีที่งานดีงานคราฟต์อยู่แล้ว

จุดสังเกต

  1. บทครึ่งแรกทำทรงมาดีแต่มาตายน้ำตื้นเอาครึ่งหลังด้วยความมือใหม่ของผู้กำกับที่เล่นอะไรเกินตัวและเกินแนวหนัง
  • บท

    6.0

  • โพรดักชัน

    8.0

  • การแสดง

    8.0

  • ความสนุก

    7.5

  • ความคุ้มค่า

    7.5

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ ยูจิน (ซงจีฮโย จาก A Frozen Flower) หญิงสาวที่หายตัวไปอย่างลึกลับนานถึง 25 ปี ก่อนที่วันดีคืนดี เธอจะกลับมาหาพี่ชายอย่าง ซอจิน (คิมมูยอล จาก The Gangster, The Cop, The Devil) และครอบครัว ในขณะที่คนอื่น ๆ ตื้นตันและดีใจกับการกลับมาของยูจิน แต่ซอจินกลับรู้สึกว่าเธอคนนี้อาจไม่ใช่น้องสาวของเขา

ผลงานจากผู้กำกับหน้าใหม่ ซอนวอนเปียง ที่ทำหนังเรื่องแรก โดยได้ดาราแม่เหล็กอย่าง ซงจีฮโย ที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากรายการวาไรตี้อย่าง Running Man ที่ฮิตในบ้านเราอยู่พักใหญ่ มาพลิกบทบาทเข้มดุและมืดหม่นในบท ยูจิน น้องสาวปริศนาที่หายไปกว่า 20 ปี และส่อพิรุธมากมาย

ในขณะที่อีกเดอะแบกของหนังก็ได้ คิมมูยอล ที่กลับมาเล่นหนังแนวจิตวิทยา ซึ่งจะว่าไปกลิ่นคล้ายหนัง Forgotten เมื่อปี 2017 ที่มีให้ชมในเน็ตฟลิกซ์ของเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกันโดยเฉพาะครึ่งแรกของหนัง หากแต่ว่ารอบนี้เขาสลับบทบาทมาเป็นตัวละครที่แทนสายตาผู้ชมและต้องสืบหาความจริงที่พร่าเลือนของตนเองแทน

ส่วนที่ดีของหนังคือ การแสดงของ 2 ดารานำที่สมแก่ชื่อเสียง เพราะช่วยพยุงหนังให้มีความตึงเครียดและตื่นเต้นได้ดี แม้มองไปในหนังแนวเดียวกันจะต้องยอมรับว่าบทไม่ได้ส่งให้ทั้งคู่โชว์พลังแบบน่าจดจำอะไรนักก็ตาม มิติทางลึกภายในตัวละครไม่ได้ถูกขับชัดออกมา แต่ทั้งนี้ทั้งคู่ก็หาช่วงเวลาที่เป็นของตนเองได้แบบพอเอาตัวรอด อย่างคิมมูยอลก็มีฉากที่เขาต้องโดนเล่นงานจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบแหลกสลาย ส่วนซงจีฮโยก็มีฉากตีบทสองหน้าให้ชวนหมั่นไส้อยู่เป็นระยะ น่าแปลกว่าฉากไคลแมกซ์ของหนังกลับไม่ใช่ส่วนที่น่าจดจำไปเสียฉิบ ผิดขนบหนังแนวนี้มาก

สิ่งที่ทำได้เกือบดี คือการให้ตัวละครเอกเป็นสถาปนิกที่บ้างาน เขามีปมซ้ำซ้อนหนัก ๆ ทั้งเรื่องในอดีตที่ปล่อยมือน้องสาวจนพลัดหลงหายไป ต่อมาก็ในปัจจุบันที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการชนแล้วหนี และท้ายสุดคือการต้องรักษาครอบครัวที่กำลังแตกสลายเพราะการมาถึงของยูจิน

สิ่งที่หนังเกือบทำได้น่าสนใจคือ การดึงเอาความเป็นสถาปนิกมาเล่นกับกิมมิกปมต่าง ๆ เช่นว่า เขาออกแบบบ้านที่อยู่ในตอนนี้เพื่อตามหาน้องสาวที่หายไป หรือฉากสถานที่ในความทรงจำที่เขาทำการสะกดจิตบำบัดแล้วสื่อเชิงสัญลักษณ์ออกมาเป็นภาพต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเห็นเชื้อความคิดสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพที่ไม่ถูกนำเอามาใช้งานได้อย่างดี เพราะสุดท้ายมันก็ไม่ได้ขยายความจนคนดูเข้าใจว่าแบบบ้านมันสอดรับกับปมต่าง ๆ อย่างไร หรือกิมมิกความทรงจำต่าง ๆ มันสะท้อนภาวะภายในตัวละครอย่างไร

และสิ่งที่นำความฉิบหายมาสู่หนังเรื่องนี้มากที่สุดคงไม่พ้นบทหนัง ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับใหม่ มันจึงเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่จนคุมไม่อยู่ เมื่อต้นเรื่องวางพลอตไว้อย่างวูบวาบหวือหวาราวกับม้าหนุ่ม ครั้นเมื่อดีกรีความเครียดพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เจ้าม้าหนุ่มก็พยศเอาเสียผู้กำกับคุมให้วิ่งในลู่ไม่ได้ ส่งผลให้การเฉลยจวบจนจุดคลี่คลายกลายเป็นงานหยาบที่ชวนกุมขมับอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง ทว่ามันดูฝืนในการพยายามอธิบายแบบเอาให้หนังจบได้ ด้วยไอเดียที่เชยระดับหนังเกรดบียุคเก่า ยิ่งฉากไคลแมกซ์ที่มีการคว้ามือขอบหน้าผานี่มันช่างเชยจนทำเอางานคราฟต์ครึ่งเรื่องแรกแทบไม่เหลือคุณค่าทีเดียว

ผู้กำกับยังโกงบทให้ตัวละครเอกขาดสติแทบทั้งเรื่อง ทั้งโดนยา โดนหลอก โดนใส่ความ โดนปั่นหัวสารพัด ครั้นเมื่อสืบสวนจนรู้ความจริง ก็ยังวิ่งเป็นหนูเข้าไปติดจั่นแบบโง่ ๆ ได้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างว่าหากตัวละครไม่มีสติในการรับมือสิ่งต่าง ๆ สถานการณ์อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ตามผู้สร้างบันดาล และก็ลงล็อกพอดีกับการหาทางลงให้เนื้อเรื่องที่พยศไปเกินผู้กำกับจะคุมไหว ความไร้สติของพระเอกก็เล่นเอาผู้ชมยังเหนื่อยจะเอาใจช่วย และพาลจะเป็นความหงุดหงิด ซึ่งพูดตามตรงท้าย ๆ เรื่องแทบจะช่างชะตาตัวละครแล้ว ถ้าบทจะปั่นให้แก้ปัญหาโง่ ๆ ขนาดนี้

สรุป เป็นหนังเกาหลีแนวธริลเลอร์จิตวิทยาที่ทำได้ดีในครึ่งแรกของหนัง แต่แทนที่จะเอาแต่พองามและคุมให้อยู่มือด้วยการขยี้ความตึงเครียดแบบเฉือนคม และการเฉลยที่ลงตัว หนังกลับเลยเถิดคิดการใหญ่จนครึ่งหลังเป็นมะเร็งของเนื้อเรื่องไปโดยปริยาย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส