[รีวิว] Deliver Us From Evil: ชื่นชม ปนเสียดาย หวนไห้หนังไทยยุคแอ็กชันครองเมือง

Release Date

01/10/2020

ความยาว

103 นาที

[รีวิว] Deliver Us From Evil: ชื่นชม ปนเสียดาย หวนไห้หนังไทยยุคแอ็กชันครองเมือง
Our score
8.9

Deliver Us From Evil

จุดเด่น

  1. ใครโหยหาหนังแอ็กชันดิบ ๆ สไตล์เอเชีย ที่เมื่อก่อนหนังฮ่องกงตลอดจนไทยเคยรุ่งเรืองมาก ๆ น่าจะชอบเรื่องนี้เลย นอกจากโพรดักชันเด่น นักแสดงยังช่วยบิ้วเรื่องได้เท่ ดุ เข้ม โหด ขึ้นมากทีเดียว

จุดสังเกต

  1. ช่วงก่อนไคลแม็กซ์หนังอืดลงไปหน่อยเพื่อเดินอารมณ์ฝั่งดราม่า ซึ่งจริง ๆ ดราม่าปูตอนต้นก็เพียงพอมากแล้ว ถ้ารักษากราฟความเดือดจากหลางเรื่องไปตลอดเรื่องจนจบได้จะเยี่ยมมาก ๆ กว่านี้อีก
  2. มีภาพเมืองไทยที่ทำร้ายจิตใจต่อคนไทยหัวใจใส ๆ ไม่คิดว่ามีเรื่องไม่ดีอยู่เหมือนกัน ทั้งการค้ามนุษย์ การค้าบริการทางเพศ แก๊งอันธพาล ยาเสพติด และนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลต่าง ๆ
  • บท

    8.0

  • โพรดักชัน

    9.5

  • การแสดง

    9.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    8.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    9.5

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ: อินนัม (ฮวังจองมิน) นักฆ่าฝีมือดีพบว่าคนรักเก่าของเขาถูกคนฆ่าตายในประเทศไทย จึงเดินทางมาเพื่อตามหาความจริง ในขณะที่ เรย์ (อีจุงแจ) ก็ถูกอินนัมฆ่าพี่น้องร่วมสาบานของเขาตาย ก็ได้เดินทางมาไทยเพื่อหวังจะล้างแค้นเช่นกัน เกมไล่ล่าสุดอันตรายของ อินนัม กับ เรย์ จึงเปิดฉากขึ้น และทั้งคู่ต้องสะสางให้มันจบที่นรก!

หนังเกาหลีสายแอ็กชันที่เปิดหัวมาด้วยสถิติสุดสวยจากการขายตั๋วได้ถึง 2 ล้านใบภายใน 5 วันที่เกาหลี เอาชนะหนังมาแรงแห่งปีอย่าง Peninsula (ภาคต่อ Train to Busan) ไปได้เป็นที่ประหลาดใจหลายคน แถมขึ้นแท่นหนังแอ็กชันที่ดีที่สุดแห่งปีของเกาหลีจากนักวิจารณ์เกาหลีบางสำนักด้วย

แต่สำหรับคอหนังเกาหลีสายดิบ ความน่าสนใจจะอยู่ที่ว่าหลังจากห่างหายไปกว่า 5 ปี ผู้กำกับ ฮงวอนชาน เขาไปอัปฝีมือมามากขนาดไหนมากกว่า โดยเขาเป็นมือเขียนบทหนังเด่น ๆ ของผู้กำกับ นาฮงจิน มาแล้วทั้ง The Chaser (2007) และ The Yellow Sea (2010) แล้วยังเคยร่วมเขียนบทหนังรางวัลบทยอดเยี่ยมเรื่อง Confession of Murder (2012) ของผู้กำกับ จังเบียงกิล อีกด้วย

หนังเรื่องแรกที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเองอย่าง Office (2015) เองก็ได้รับเลือกไปชิงในสาขา Golden Camera ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย ซึ่งใครได้ดูหนัง Office มาแล้วก็น่าจะจำได้ดีถึงฝีมือการขยี้วัฒนธรรมเกาหลีที่เป็นส่วนสากลอย่างการทำงานในออฟฟิศ ออกมาได้น่าตื่นเต้น เย้ยหยันและปวดใจได้ขนาดไหน การกลับมาหลังจากบ่มไอเดียนานถึง 5 ปีของเขาใน Deliver Us From Evil ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย

ซึ่งในครั้งนี้แม้ความคมคายในบทหนังอาจไม่ได้มีมากอย่างที่เราหวัง แต่มันก็เข้มในแนวทางของหนังบู๊ที่หยิบยืมหัวใจของหนังแอ็กชันฮ่องกง หรือหนังแอ็กชันเอเชียอาคเนย์ทั้งจากบ้านเราและอินโดนีเซีย มาผสานกันได้สนุก จะว่าไป ฮงวอนชาน ก็เป็นสายบทหนังธริลเลอร์เข้ม ๆ ดาร์ก ๆ ตัวพ่อเหมือนกันและทำการบ้านมาได้ดีมาก ๆ จึงทำให้ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของ Deliver Us From Evil เต็มไปด้วยความเท่ ความดาร์ก และเรื่องราวที่ปูมาสำหรับแอ็กชันได้ลุ้นสุด มันสุด เช่นกัน

ว่ากันตามตรงพลอตของหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่อะไรเลย หนังจา พนม หนังบู๊ไทย หรือหนังฮ่องกงเมื่อไม่นานนี้ก็กลิ่นอายแบบเดียวกันเลย แต่ความที่ฮงวอนชานทำการบ้านหนังแอ็กชันโซนนี้มาดีมาก มันจึงตกตะกอนเป็นหนังที่มีไอเดียแตกต่าง ใช้ความชั่วหลายฝักฝ่ายไล่ล่ากันแบบตะลุมบอน โดยมีเด็กน้อยตาใสที่แค่ฉากแรกโผล่มาเราก็ตกหลุมรักอยากเอาใจช่วยอยู่กลางสมรภูมิที่ผู้ใหญ่เลว ๆ ห้ำหั่นกัน

และการเสริมพื้นด้านดราม่าของตัวละครก็เป็นงานถนัดฝั่งเกาหลีที่ีมาเติมเต็มจุดอ่อนของหนังบู๊แบบบ้านเราได้พอดิบพอดี ทำให้เรารู้สึกจริงจังขึงขังกับมันได้มาก แม้บางฉากแอ็กชันจะแฟนซีไม่แพ้หนังไทยยุคเวอร์ ๆ ก็ตาม (ระเบิดรถหมุนสามตลบงี้) แต่ด้วยความสร้างสรรค์มันเลยไม่เด๋อแต่กลายเป็นความเท่มาก ๆ ไปแทน

ยิ่งได้ดาราเบอร์ใหญ่ของหนังเกาหลีอย่าง ฮวังจุงมิน ที่บ้านเราอาจคุ้นหน้าจากหนัง The Battleship Island และ Asura: The City of Madness หรือหนัง The Wailing ก็ด้วย ซึ่งรับประกันฝีมือด้วยรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเวที Blue Dragon Film Awards มาถึง 2 ตัว และเมื่อมาประชันบทกับ อีจุงแจ ซึ่งก็คุ้นหน้าดีจากหนังใหญ่อย่าง The Housemaid (2010) และ Along With the Gods: The Two Worlds (2017) ซึ่งทั้งสองคนนี้ยังเป็นการกลับมาชนกันในหนังอีกครั้งหลังจากเคยขับเคี่ยวกันมาแล้วใน New World (2013) ด้วย

ฮวังจุงมิน ที่ใส่สูทดำเท่ ๆ แบบนักฆ่า มาขับรถกระบะโตโยต้าบ้าน ๆ แบบไทยตามหาคน คิดว่าจะไปหาดูได้จากที่ไหนครับ
อีแจจุงพอมาอยุ่ในไทยชวนให้นึกถึง บีคิง แรปเปอร์สายโหดขึ้นมาซะงั้น แต่เรื่องนี้พี่แกเล่นได้เหี้ยมสะใจดีจริง ๆ ล่ะ

และที่น่าพูดถึงอีกคนคือ พักจองมิน ที่สลัดภาพหนุ่มซื่อหนีตายในหนัง Time to Hunt (2020) มาเป็นเลดี้บอยเมืองไทยได้อย่างน่าจดจำ และตัวละครนี้ก็เป็นดอกไม้ของเรื่องที่น่าสนใจมาก ฉากที่เขาคุยเรื่องลูก กับพระเอกทำให้มิติตัวละครนี้ลึกและน่าสนใจขึ้นมาทันที

พักจองมิน คือโคตรแห่งการขโมยซีนในฐานะดาราสมทบ

หนังโชคดีทีเดียวที่เริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปลายปีก่อนและปิดกล้องเรียบร้อยในเดือนมกราคมของปีนี้ จึงทำให้รอดจากปัญหาโควิด-19ไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะหนังใช้ฉากหลังถ่ายทำกันถึง 3 ประเทศคือ เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย และการที่เลือกไทยเป็นที่ให้ตัวละครมาจบบัญชีแค้นกันก็ชาญฉลาดมาก ๆ เพราะ หนึ่ง มันจะได้ภาพความเอ็กโซติกที่ไม่ซ้ำใครแน่ ๆ สอง มันจะได้ใช้บริการของทีมงานไทยที่ว่ากันไม่อวย สายแอ็กชันนี่คือบ้านเราอันดับต้น ๆ ของโลกจริง แค่ทุนถึงเถอะ ฉากแอ็กชันมัน ๆ ชวนติดตามาได้ทุกเม็ดจริง ๆ อันนี้ไม่เชื่อลองดูหนังอย่าง Extraction ของพี่ธอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ และในหนังเกาหลีเรื่องนี้ก็มาจัดหนักเช่นเดิมไม่ว่าจะฉากบู๊ในทางเดินแคบ ๆ ตามชั้นบันได ยาวไปถึงบนท้องถนน

และที่ต้องพูดตามหัวเรื่องเลยคือ ตลอดเวลาที่ดูมันเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย เห็นฉากหลังเป็นเมืองไทย เห็นตัวละครประกอบเป็นดาราไทย เห็นโปรดักชันส่วนแอ็กชันที่รู้ว่างานไทยประดิษฐ์ แล้วมันจุกอก เราเชื่อจริง ๆ ว่าหนังไทยมันทำแบบนี้ได้ ถึงมันจะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศไปชิงออสการ์แต่มันเป็นหนังบันเทิงสินค้าส่งออกที่เราเคยทำอยู่มือมาก ๆ แล้วเรื่องนี้ทำให้รู้เลยว่าถ้ามีทุน มีการสนับสนุนดี ๆ จากรัฐ และวิสัยทัศน์ผู้สร้างกับบทที่ดีหน่อย หนังบู๊ไทยยังไปได้อีกไกลมาก เสียดายจริง ๆ ที่จิตวิญญาณหนังบู๊ไทยในวันนี้ต้องไปยืมร่างหนังเกาหลีเขาให้มีตัวตนอยู่เสียแล้ว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส